ปิดช่องโหว่ระบบการเงินไทย จ่อออกกฎหมายใหม่ สกัดมิจฉาชีพข้ามชาติ

ปิดช่องโหว่ระบบการเงินไทย จ่อออกกฎหมายใหม่ สกัดมิจฉาชีพข้ามชาติ

“เอกนิติ” รับนโยบายนายกฯ ลุยปิดช่องโหว่ระบบการเงินไทย ตั้ง “Data Bureau” เชื่อมโยงข้อมูล จ่อออกกฎหมายใหม่ สกัดมิจฉาชีพข้ามชาติ

วันที่ 6 พ.ย.2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ระบบการเงินประเทศไทยในปัจจุบันยอมรับว่ายังมีช่องโหว่ แม้ไทยจะมีระบบการเงินที่ดีและค่าเงินที่มีเสถียรภาพ แต่ยังมีช่องทางประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันทำให้เกิดการรั่วไหล

นอกจากนี้ ความท้าทายที่สำคัญคือนวัตกรรมทางการเงินได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะการใช้ คริปโทเคอร์เรนซีซึ่งหากระบบการเงินไม่สามารถตามให้ทัน ก็จะเกิดช่องโหว่ขึ้น อีกทั้งปัญหาดังกล่าวถูกซ้ำเติมด้วยการทำงานที่แยกส่วนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งต่างคนต่างมีกฎหมายของตัวเองและไม่เชื่อมโยงกัน 

นายเอกนิติ กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก โดยนั่งเป็นประธานคณะกรรมการการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีด้วยตนเอง และได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด เพื่อเร่งทำงานทั้งได้ด้านการปราบปราม เทคโนโลยี การตรวจสอบเส้นทางการเงิน และการประชาสัมพันธ์

โดยตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินฯ ได้รับนโยบายจากนายกฯ ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดตั้ง Data Bureau ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเพื่อรวบรวมข้อมูล และนำไปสนับสนุนการทำงานของชุดปราบปรามในการสอบสวนคดีจริง คาดว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้ ภายในเดือนพ.ย.นี้

นอกจากนี้ คณะทำงานตั้งเป้าหมายที่จะยกมาตรฐานระบบการเงินไทยให้เท่าเทียมกับมาตรฐานสากล เนื่องจากมิจฉาชีพข้ามชาติมีการใช้คริปโตในไทย แล้วนำไปซื้อทรัพย์สิน เช่น รถหรู ทองคำ เพื่อส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่กฎหมายปัจจุบันยังไปไม่ถึงจุดเชื่อมต่อเหล่านี้ ดังนั้นจึงต้อง ออกกฎหมายใหม่ เพื่อกำหนดกติการะหว่างประเทศและทำให้สามารถ ระบุตัวตน ของผู้กระทำผิดได้ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อาจจะดำเนินการเสนอเป็นพระราชกำหนด

นายเอกนิติ ย้ำว่า หากไม่ดำเนินการในวันนี้ ช่องโหว่ที่มีจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์ ด้วยประตูที่ยีงเปิดอยู่หลายช่อง การดำเนินการนี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และยืนยันว่าทีมงานจะทำเต็มที่ตามนโยบายของนายกฯ ที่จะไม่มีการช่วยเหลือใครอย่างแน่นอน