จบยุคชอป ‘ของถูก’ ออนไลน์ ‘ศุลกากร’ เอาจริง เก็บภาษีตั้งแต่บาทแรก

“ศุลกากร” ยกเลิกการยกเว้นอากรนำเข้าสินค้ามูลค่าต่ำ (De minimis) สู่การจัดเก็บภาษีตั้งแต่ 1 บาทแรก ลดแต้มต่อ ชอปปิงออนไลน์ซื้อ “ของถูก” จากต่างประเทศ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกรมศุลกากรประกาศจัดเก็บภาษีอากรขาเข้าโดยไม่มีการยกเว้นมูลค่าขั้นต่ำอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค.2569 นี้
หลายปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการชอปปิงออนไลน์ของคนไทยได้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ความสุขจากการซื้อของจุกจิก สารพัดของกุ๊กกิ๊กราคาหลักสิบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เคสโทรศัพท์ สายนาฬิกา หรือเครื่องครัว จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ กลายเป็นความปกติใหม่ในชีวิตประจำวัน
เทรนด์ "การบริโภคของถูก" นี้ เฟื่องฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ จากการสั่งซื้อร้านค้าในต่างประเทศได้โดยตรง แต่ในขณะเดียวกัน เทรนด์นี้ก็ได้สร้าง "จุดบอด" ขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างเงียบๆ
เบื้องหลัง ‘ของถูก’ ที่ไร้การตรวจสอบ
เสน่ห์ของราคาสินค้าที่ถูกจนน่าตกใจ มักต้องแลกมากับสิ่งที่มองไม่เห็น สินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่ "ไร้การตรวจสอบ" มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือมาตรฐานความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้นของหน่วยงานในประเทศ
เราจึงได้เห็นข่าวเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน ของเล่นเด็กที่มีสารเคมีอันตราย หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เสื่อมสภาพเร็ว เหล่านี้คือ สินค้าที่ทะลักเข้ามา และด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่างกัน อีกทั้งไม่ต้องแบกรับต้นทุนภาษีเต็มรูปแบบ ทำให้ผู้ประกอบการ SME หรือผู้ผลิตในประเทศที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และมาตรฐานทุกขั้นตอน ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้เลย
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร ชี้ว่า การทะลักเข้ามาของสินค้ากลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการค้าที่ไม่เป็นธรรม แต่ยังไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับเศรษฐกิจในประเทศอีกด้วย
"De Minimis" ช่องโหว่ที่กำลังจะถูกปิด
ข้อกำหนดที่เรียกว่า "De Minimis" ซึ่งเป็นกฎที่ "ยกเว้นอากรนำเข้า" ให้กับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ที่หลายประเทศมีการกำหนดมูลค่าต่างกันไป เพื่อลดต้นทุนการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่มีจำนวนมากขึ้น แต่ไม่คุ้มค่ากับการจัดเก็บรายได้ภาษี เมื่อสินค้าเหล่านั้นมีมูลค่าต่ำ
อย่างไรก็ตาม นี่กลับกลายเป็น "ช่องโหว่" ที่ทำให้สินค้าราคาถูกนับ 10 ล้านชิ้นต่อปี ถูกส่งตรงถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางภาษีศุลกากรอย่างเต็มรูปแบบ
โดย นายพันธ์ทอง อธิบดีกรมศุลกากรคนใหม่ ได้ประกาศขับเคลื่อนนโยบายตัดสินใจ "ไม่ต่ออายุ" ประกาศยกเว้นภาษีดังกล่าว ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.2568
และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป สินค้านำเข้าทุกชิ้นที่มีมูลค่า "ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป" จะต้องถูกจัดเก็บภาษีอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
เมื่อ ‘ราคา’ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กำลังจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการชอปปิงออนไลน์ของไทยใน 3 เรื่อง
1. ผู้บริโภคที่นิยมสั่งซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อยราคาถูกจาก ”ร้านในต่างประเทศ“ จะต้องแบกรับต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นทันที โดยจะต้องบวกอากรนำเข้า เฉลี่ยประมาณ 10% และ VAT 7% เข้าไปในราคาสุดท้าย
2. สำหรับผู้ค้าในประเทศ การที่คู่แข่งจากต่างประเทศมีต้นทุนเพิ่มขึ้น จะช่วยลดความได้เปรียบด้านราคา และเปิดโอกาสให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เคยถูกสินค้านำเข้าราคาถูกครองตลาด
3.บทบาทของแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยตรวจสอบสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือสินค้าต้องห้าม เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะช่วยสกัดและกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าเถื่อนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ กรมศุลกากรยืนยันว่าประชาชนผู้ซื้อจะไม่ได้รับภาระในการเดินเรื่องเสียภาษีเอง แต่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม หรือผู้ให้บริการขนส่งจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งคล้ายกับโมเดลการเก็บ VAT ที่เริ่มใช้ไปเมื่อเดือนก.ค.2567 อีกทั้งการสั่งซื้อสินค้าที่เป็นร้านค้าในประเทศก็จะไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากร้านค้าเหล่านี้มีการดำเนินเรื่องนำเข้าสินค้าตามขั้นตอน และเสียภาษีแล้ว
แม้ว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายแพงขึ้น แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง "ราคา" กับ "ความคุ้มค่าและความปลอดภัย" โดยกรมศุลกากรยังมีแผนการแก้ไขกฎหมายเพื่อมุ่งหน้าสู่การจัดเก็บอากรขาเข้าเป็นอัตราภาษีเดียวในอนาคต
โดยเทรนด์การซื้อของถูกแบบไม่คิดหน้าคิดหลังกำลังจะถูกแทนที่ด้วยการแข่งขันที่โปร่งใส และการตระหนักรู้ถึงมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภค และผู้ผลิตในประเทศในระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







