กกร.เตือนส่งออกไทย ‘ภาพลวงตา’ จับตา 5 กลุ่ม Local Content ต่ำ

"กกร." เตือนภาคการส่งออกสินค้าของยังไทยเป็นแค่เพียง "ภาพลวงตา" แม้ตัวเลขโต 10% จับตา 5 กลุ่มอุตสาหกรรม Local Content ยังต่ำ
KEY
POINTS
- ส.อ.ท. ระบุว่ามูลค่าการส่งออกที่เติบโตสูงเป็น "ภาพลวงตา" เนื่องจากการนำเข้าสินค้าปริมาณสูงจากจีน และอาเซียนเพื่อส่งออกต่อในลักษณะสวมสิทธิหรือทรานส์ชิปเมนท์
- การส่งออกที่ขยายตัวสูงนี้ไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ (GDP) อย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) ต่ำ
- กกร. พบว่าสินค้ากลุ่มที่มี Local Content ต่ำ และมีส่วนประกอบจากจีน (Foreign Content) เติบโตสูงถึง 17.7% ขณะที่สินค้ากลุ่ม High Local Content ขยายตัวเพียง 5.6%
- สินค้า 5 กลุ่มที่ถูกจับตาว่ามี Local Content ต่ำ และมีส่วนประกอบจากจีนเพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก และโลหะ, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องจักร และอุปกรณ์, และยานพาหนะ และชิ้นส่วน
การส่งออกไทยเดือนก.ย.2568 มีมูลค่า 30,970 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ที่ 19.0% เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดรอบ 42 เดือน นับตั้งแต่เดือนเม.ย.2565 ส่วนการส่งออก 9 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 254,146 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในวันที่ 5 พ.ย.2568 ได้หารือสถานการณ์เศรษฐกิจไทย และมีการประเมินการส่งออกที่ขยายตัวสูงมาก แต่อาจจะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่มาก โดย กกร.ประเมินว่าการส่งออกที่ขยายตัวสูงสะท้อนปัญหา Transshipment และวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนของไทยไม่ได้มีส่วนร่วมผลิตเท่าที่ควร
สถานการณ์ดังกล่าว กกร.ประเมินว่าการส่งออกที่ขยายตัวสูงจึงไม่ส่งผลต่อ GDP อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และคาดว่าจะส่งผลต่อ GDP เพียง 0.4% โดยเมื่อพิจารณาผลกระทบต่อ GDP แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ
1.ผลกระทบต่อ GDP ทางตรง -0.2% แบ่งเป็นผลต่อการส่งออกอยู่ที่ 6.0% ส่วนผลกระทบจากการนำเข้า -6.2%
2.ผลกระทบต่อ GDP ทางอ้อมผ่านรายได้ และการบริโภค 0.6% เป็นผลมาจากการส่งออกมี Local Content น้อยลง รวมทั้งสินค้า ประเภท Low Local Content มีสัดส่วนสูงขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของมูลค่าการส่งออกกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าที่มี Local Content ต่ำ
และ Foreign Content จากจีนเพิ่มขึ้นถึง 17.7% แต่สินค้ากลุ่ม High local content ขยายตัวเพียง 5.6%
ขณะที่สินค้าที่มี Local Content ต่ำ และ Foreign Content จากจีนเพิ่มขึ้น 5 กลุ่ม ได้แก่ เหล็ก และโลหะ, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องจักรและอุปกรณ์, ยานพาหนะ และชิ้นส่วน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แม้มูลค่าการส่งออกที่โตแต่ต้องยอมรับว่า “เป็นเพียงภาพลวงตา” โดยไทยนำเข้าสินค้าจากจีนหรือกลุ่มประเทศอาเซียนปริมาณสูง และมีลักษณะของการสวมสิทธิหรือทรานส์ชิปเมนท์ รวมถึงปัจจัยหลายอย่างที่กระทบภาคส่งออก ทั้งเงิน ทองคำ และค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่ทำให้สัดส่วนในจุดนี้ที่หายไปด้วยเช่นกัน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวดีต่อเนื่องแม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด IMF ประเมิน GDP โลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวดีส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อ GDP จำกัด
อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2 ปีนี้ แตะ 2.1% สูงสุดรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานภาคอุตสาหกรรม และเด็กจบใหม่เร่งตัว จากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน
“โครงสร้างแรงงานยังสะท้อนแผลเป็นหลังโควิด แรงงานจำนวนมากไหลออกจากระบบไปสู่นอกระบบ รายได้ลดจาก 15,000 บาท เหลือเพียงราว 8,000-9,000 บาทต่อเดือน ฉุดผลิตภาพแรงงาน (Productivity) ลงอย่างต่อเนื่อง”
โดย กกร. ยังคงคาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8% - 2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5% - 10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1% ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง
อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
“กกร. เห็นว่า หวังรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 เร่งมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ส่งเสริม SMEs และนโยบาย Made in Thailand ตาม Quick Big Win จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยปี 2568 ให้ใกล้เคียงระดับ 2.5% เหมือนปีก่อนหน้า”
ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้ร่วมกับภาครัฐ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท
พร้อมมีแนวทางในการยกระดับรายได้ โดยมีแรงจูงใจ และให้แต้มต่อเพื่อให้ลูกหนี้มีความพร้อม และสามารถเข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการรวมประเภทหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้
นอกจากนี้ กกร.รับทราบความก้าวหน้าโครงการ “Reinvent Thailand” เพื่อยกระดับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ และการจ้างงาน ได้แก่ 1. เกษตรและอาหาร 2. ยานยนต์ 3. อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4. สุขภาพ และการแพทย์ 5. ท่องเที่ยว และ 6. ค้าปลีก
โดย กกร. จะมีเจ้าภาพในการผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ “พี่ช่วยน้อง” ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือ และโครงการต่างๆ ของภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูปกฎหมาย และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







