ส.อ.ท. จับตาศาลสหรัฐชี้ขาดอำนาจ 'ภาษีทรัมป์' สะเทือนการค้าโลก

"ส.อ.ท." จับตาศาลสูงสหรัฐชี้ขาดอำนาจ "ทรัมป์" ออกภาษีตอบโต้ศุลกากร เอกชนหวังอิงศาลชั้นต้น ลด "ดุลอำนาจ–กระทบการค้าโลก"
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาคเอกชน และทั่วโลกกำลังจับตาผลการตัดสินของศาลสหรัฐ ที่จะวินิจฉัยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถใช้อำนาจคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ในการเก็บภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้า (Reciprocal Tariff) ได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสหรือไม่ ซึ่งผลตัดสินดังกล่าวอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อโครงสร้างอำนาจของสหรัฐ และทิศทางการค้าระหว่างประเทศ
นายเกรียงไกร ระบุว่า ในชั้นต้นศาลได้ตัดสินแล้วว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายของทรัมป์ ยืนยันว่าประธานาธิบดีมีอำนาจในการปกป้องเศรษฐกิจ และผลประโยชน์ของประเทศ โดยสามารถออกคำสั่งเก็บภาษีได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม กระแสวิพากษ์วิจารณ์ภายในสหรัฐ มีความกังวลอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษนิยมจำนวนมากที่เห็นว่าหากศาลสูงรับรองอำนาจดังกล่าว จะเป็นการถ่ายโอนอำนาจจากฝ่ายนิติบัญญัติไปสู่ฝ่ายบริหารอย่างถาวร ขัดกับหลักการรัฐธรรมนูญ และระบบถ่วงดุลอำนาจ (check and balance) จนทำให้ประธานาธิบดีมีสถานะเสมือน “King” หรือกษัตริย์ ซึ่งสังคมสหรัฐ เห็นสัญญาณการต่อต้านผ่านการประท้วงในแคมเปญ “no king”
นายเกรียงไกร มองว่า ผลคำตัดสินมีแนวโน้มออกได้ 2 ทางหลัก ได้แก่
1) ศาลชี้ว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจ
- คำสั่งเก็บภาษีเดิมต้องถูกยกเลิก
- ความวุ่นวายทางการค้าโลกจะค่อยๆ คลี่คลาย
- ความน่าเชื่อถือของทรัมป์จะได้รับผลกระทบ
- เป็นผลดีต่อไทยที่เคยถูกเก็บภาษีเฉลี่ยเพียงราว 2% ก่อนออกมาตรการดังกล่าว
- จีนจะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะอัตราภาษีจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (จากระดับที่อาจถูกขึ้นถึง 100% เหลือราว 10–40%)
2) ศาลชี้ว่าประธานาธิบดีมีอำนาจ
- จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการใช้ Executive Order
- อาจนำไปสู่การใช้อำนาจฝ่ายบริหารมากขึ้น โดยไม่มีการถ่วงดุลที่เหมาะสม
- เสี่ยงสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบการค้าโลกในอนาคต
- หากอยู่ในยุคทรัมป์ที่มีบุคลิกแข็งกร้าว อาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
หนี้สหรัฐ พุ่ง–ภาษีทรัมป์คือ “กระเป๋าที่สอง”
ประธาน ส.อ.ท. ระบุว่า โครงสร้างการเงินของสหรัฐ อยู่ในภาวะเปราะบาง หนี้สาธารณะพุ่งสูงกว่า 36–37 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้การจัดเก็บภาษีจากมาตรการตอบโต้คู่ค้าเป็น “กระแสเงินสดสำคัญ” ที่ทรัมป์หวังนำมาอุดการขาดดุลการค้า โดยตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ 5–6 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ทำได้จริงราว 3–4 แสนล้านดอลลาร์
แม้นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะดันเงินเฟ้อ แต่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ล่าสุดยังอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งถือว่ารับได้ อย่างไรก็ดี หากมีการยกเลิกมาตรการ เก็บภาษีดังกล่าว เงินเฟ้ออาจลดลงสู่ระดับเป้าหมาย 2%
ไทย–โลก ลุ้นผลตัดสินสะเทือนกรอบการค้า
นายเกรียงไกร มองว่า ผลของคำตัดสินนี้จะส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพการค้าโลก ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงผันผวน ขณะที่ไทยอาจได้รับผลเชิงบวก หากศาลตัดสินว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจ เนื่องจากจะลดแรงกดดันด้านภาษี และช่วยสร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อการค้าระหว่างประเทศ
“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเมืองภายในสหรัฐ แต่เป็นจุดวัดพลังอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร–นิติบัญญัติ และยังเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายกีดกันทางการค้าในอนาคต ซึ่งทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนต่อไป หากคำตัดสินเปิดทางให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการใช้นโยบายด้านภาษีเพียงลำพัง ซึ่งจะพลิกโฉมกรอบการค้าระหว่างประเทศในระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







