ครม.เศรษฐกิจไฟเขียว ตั้ง AMC แก้หนี้ NPL เฟสแรก 6.2 หมื่นล้าน 2.3 ล้านบัญชี

ครม.เศรษฐกิจไฟเขียว ตั้ง AMC แก้หนี้ NPL รับซื้อหนี้เสียประชาชนที่มีหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาท จากสถาบันการเงิน ระยะแรก 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้าน ‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ยันทำแค่ครั้งเดียวเพื่อไม่ให้กระทบวินัยการเงินในอนาคต
วันนี้ (3 พ.ย. 68) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 3 ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยเป็นประธาน มีการแถลงข่าว โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงข่าว
นายเอกนิติ เปิดเผยว่า ครม.เศรษฐกิจในวันนี้เห็นชอบโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์ หรือการตั้ง “AMC” ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดให้ “การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่จะต้องมีการแก้ไขโดยเร็ว
เนื่องจากรัฐบาลพบว่าปัจจุบันมีลูกหนี้รายย่อยบางส่วนกำลังประสบปัญหา ทั้งการมีภาระหนี้สูงโดยเฉพาะหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน การผ่อนชำระหนี้ไม่ไหวจนกลายเป็นหนี้ค้างชำระ การที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายรายทำให้ถูกทวงหนี้จากเจ้าหนี้หลายแห่ง และทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้
ดังนั้น กระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ขึ้น โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และมีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยมีจำนวนเป้าหมายที่ต้องการแก้ไขประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท
โดยในระยะแรกเป็นการดำเนินการแก้หนี้ NPL ผ่านกลไกการซื้อหนี้โดย AMC โดยเร็ว ซึ่งจะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 พ.ย.68 และธปท.จะมีการ MOU กับธนาคารเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งในการดำเนินการในระยะนี้คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท โดยเป็นการแก้ปัญหาลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขาย และโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) และกำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรน และเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น
นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยเหลือเพิ่มเติมโดย SFIs ดำเนินการเอง โดยSFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของ ธพ. หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น
“การดำเนินการในสองส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ ในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banks ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด” นายเอกนิติ กล่าว
จากการดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ในครั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนรายย่อยซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาภาระหนี้จนกระทบต่อเนื่องเป็นปัญหาชีวิต และปัญหาสังคม และเศรษฐกิจในภาพรวม สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านกลไกการให้ความช่วยเหลือของ AMC ได้รับการปรับโครงหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยเร็ว และยั่งยืน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ในอนาคต
ด้านนายลวรณ กล่าวว่า ลูกหนี้ที่โอนเข้ามาใน AMC นี้จะได้รับรหัสพิเศษ (รหัส 16) ในเครดิตบูโรซึ่งทำให้ ไม่จำเป็นต้องรอถึง 3 ปี เพื่อขอสินเชื่อใหม่ หากลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ใหม่ที่ลดภาระแล้วได้ตามวินัยอาจจะเป็น 1, 3 หรือ 6 เดือนสถาบันการเงินสามารถพิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ที่จะใช้เครื่องมือ อารีย์ สกอร์ ที่กระทรวงการคลัง จัดทำขึ้น เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อใหม่แก่ลูกหนี้ที่เคยเป็น NPL แต่มีวินัย โดยสินเชื่อใหม่ที่ให้กับลูกหนี้ที่กลับมามีวินัยจะเน้นสินเชื่อที่ไปเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หรือเพื่อไปประกอบธุรกิจเพื่อทำให้สามารถพ้นจากการเป็นหนี้เสียได้อย่างยั่งยืน
ขณะที่นายวิทัย ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุว่าโครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง ธปท. กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชน ซึ่งเราเน้นไปที่การแก้หนี้จำนวนคนจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงการรักษา วินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด โดยไม่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน หรือเงินจากคลัง แต่จะใช้แหล่งเงินที่เหลือจากโครงการ "คุณสู้เราช่วย" ซึ่งมาจากเงินที่ลดการนำส่งกองทุน FIDF ที่ลดลงจาก 0.46% เหลือ 0.23% มาใช้ในการดำเนินโครงการ โดยมาตรการการผ่อนปรนนี้จะเป็นการดำเนินการ "ครั้งเดียว" สำหรับลูกหนี้ NPL ที่เกิดขึ้นก่อน 30 กันยายนปีนี้เท่านั้น ส่วนในอนาคตเราไม่สามารถจะบอกว่าจะทำโครงการในลักษณะนี้เพราะถ้าจะทำในอนาคตจะเป็นการส่งสัญญาณว่าจะทำให้เสียวินัยเพราะฉะนั้นเราก็จะทำครั้งเดียว
ด้านนายผยง กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือกันที่รวมศูนย์ที่ถือเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของการแก้หนี้ในครั้งนี้ ที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการจัดการหนี้ในแต่ละประเภท แยกเป็นก้อนๆ แต่ยังไม่ได้ยึด “ลูกหนี้” เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริงกิจกรรมในครั้งนี้ จึงถือเป็นหลักคิดครั้งแรก ที่จะเปลี่ยนมุมมองใหม่จากการมองก้อนหนี้ มาเป็นการมอง ลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง
นั่นหมายความว่า เราจะมองกำลัง และความสามารถของลูกหนี้แต่ละรายโดยอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า ลูกหนี้แต่ละกลุ่มมีความจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในลักษณะใดบ้าง
“นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง และร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของลูกหนี้ อย่างเป็นระบบเพราะถ้าไม่มองให้ ลูกหนี้อยู่ตรงศูนย์กลางก็จะมองไม่รอบด้าน และจะทำให้มาตรการช่วยเหลือที่ออกมาไม่ตรงจุด” นายผยง กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







