ดีล 'แร่หายาก' สะท้อนสงครามเทคโนโลยีโลก 'ส.อ.ท.' เตือนบาลานซ์ 2 มหาอำนาจ

“ส.อ.ท.” ชี้ดีล Rare Earth "ไทย-สหรัฐ" สะท้อนสงครามเทคโนโลยีโลก ชูไทยฐานทรัพยากรสำคัญ–จับตาบาลานซ์สัมพันธ์สองขั้ว “จีน–สหรัฐ”
KEY
POINTS
- สหรัฐฯ หยิบยกประเด็น "แร่หายาก" (Rare Earth) หารือนอกรอบกับไทยในเวที APEC ซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีนที่ครองตลาดโลกกว่า 90% ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยี
- ส.อ.ท. มองว่าดีลนี้เป็นโอกาสของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น EV และชิป แต่เตือนให้รอบคอบเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยยกกรณีมลพิษจากเหมืองในเมียนมาเป็นบทเรียน
- ส.อ.ท. เสนอให้ไทยพัฒนานโยบายอย่างยั่งยืน ไม่เป็นเพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบ แต่ต้องสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศ ควบคู่กับมาตรการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่รัดกุม
- ในภาวะโลกที่กำลังเข้าสู่ยุค "สองขั้วอำนาจ" ส.อ.ท. ย้ำว่าไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าและแหล่งลงทุนที่สำคัญ โดยไม่เลือกข้าง แต่สร้างจุดยืนเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมทั้งสองขั้ว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าของบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้าน "แร่หายาก" (Rare Earth) ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ว่า ประเด็นนี้ถือเป็น “ดีลแทรกกลางเวที APEC” ที่ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมอย่างเป็นทางการเดิม ซึ่งมีจุดเน้นในเรื่องการเจรจาสันติภาพและความร่วมมือชายแดน “ไทย-กัมพูชา”
ทั้งนี้ สหรัฐได้มีการหยิบยกประเด็นของ “แร่ Rare Earth” เข้ามาหารืออย่างไม่คาดคิด โดยเฉพาะจากฝั่งสหรัฐที่มีประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้เปิดประเด็นขึ้นมาเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันจาก “สงครามเทคโนโลยี” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ปะทุอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
"ทรัมป์" หยิบ "Rare Earth" ดึงไทยเข้าห่วงโซ่ใหม่
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การที่ทรัมป์นำเรื่องนี้เข้ามาเจรจาในเวที APEC สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่ต้องการ “กระจายความเสี่ยง” ออกจากจีนในห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบสำคัญของโลก หลังจีนกลายเป็นประเทศที่ควบคุมการผลิตแร่หายากมากถึง 90–95% ของกำลังการผลิตทั่วโลก และใช้ทรัพยากรนี้เป็น “เครื่องต่อรอง” กับชาติตะวันตก
“จีนถือ Rare Earth เป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในสงครามเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯ ออกคำสั่งห้ามส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูงให้จีน ซึ่งทำให้สหรัฐต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่ในภูมิภาคที่มีทรัพยากรสำคัญ เช่น ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย และมาเลเซีย” นายเกรียงไกร กล่าว
“ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศ ที่มีศักยภาพด้านแร่หายาก และมีการส่งออกแร่ชนิดนี้ในระดับโลก สหรัฐจึงต้องการดึงไทยและพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ เพื่อพึ่งพาจีนให้น้อยลง” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ส.อ.ท. มองว่า การที่สหรัฐเข้ามาดึงไทยเข้าร่วมซัพพลายเชนแร่หายาก อาจสร้างโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่, ชิปอิเล็กทรอนิกส์, และระบบอาวุธป้องกันประเทศ ซึ่งล้วนต้องใช้ Rare Earth เป็นวัสดุสำคัญในกระบวนการผลิต
เตือนรอบคอบด้านสิ่งแวดล้อม–ยกบทเรียนเมียนมา
นายเกรียงไกร กล่าวว่า แม้ดีล Rare Earth จะเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ในมุมมองของภาคอุตสาหกรรมก็อยากจะเตือนว่า ประเทศไทยต้องศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ เนื่องจากการทำเหมืองและแยกสาร Rare Earth ต้องใช้สารเคมีที่มีความเป็นพิษสูง หากบริหารจัดการไม่ดีอาจก่อให้เกิดปัญหามลพิษรุนแรง
“เราต้องไม่ซ้ำรอยเมียนมาที่จีนเข้าไปลงทุนขุดแร่หายากจนเกิดสารเคมีปนเปื้อนจำนวนมากไหลเข้ามาในแม่น้ำแม่กก ส่งผลกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทยโดยตรง นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าหากไทยเดินหน้าโดยไม่วางมาตรการสิ่งแวดล้อมให้รัดกุม จะเกิดผลเสียมหาศาลในระยะยาว” นายเกรียงไกร กล่าว
ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเสนอให้รัฐบาลคำนึงถึงแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม Rare Earth อย่างยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุน และการแปรรูปในประเทศ เพื่อให้ไทยไม่เป็นเพียง “ผู้ส่งออกวัตถุดิบ” แต่สามารถสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมในประเทศได้ครบวงจร แม้ไทยจะค้นพบว่ามีแร่ที่ดี แต่ก็ยังไม่ได้มีการลงทุนเพราะต้องใช้เงินมหาศาล อีกทั้งในประเด็นสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และสำคัญยิ่งคือ ด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
โลกเข้าสู่ “สองขั้ว” ต้องบาลานซ์สัมพันธ์
นายเกรียงไกร ยังประเมินว่า สถานการณ์โลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค “สองขั้วอำนาจ” อย่างชัดเจน โดยมีจีนและสหรัฐฯ เป็นแกนกลางของแต่ละขั้ว ประเทศไทยในฐานะประเทศขนาดกลางจำเป็นต้องรักษาความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย เพราะทั้งคู่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างลึกซึ้ง
ทั้งนี้ จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ส่วนสหรัฐฯ อยู่ในอันดับ 2 ทั้ง 2 ประเทศมีสัดส่วนการค้ารวมกันกว่า 30% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด ขณะเดียวกันทั้งสองชาติยังเป็นแหล่งลงทุนโดยตรง (FDI) สำคัญในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงพลังงาน เป็นต้น
“ไทยต้องเล่นเกมสมดุลให้ได้ เราไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรสร้างจุดยืนว่าไทยเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางซัพพลายเชนที่เชื่อมทั้ง 2 ขั้วเข้าด้วยกัน” นายเกรียงไกร กล่าว
หวังเวที APEC ดันนักท่องเที่ยวจีนฟื้น
ในด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ นายเกรียงไกร กล่าวว่า การพบปะระหว่างผู้นำไทย-จีนในงาน APEC จากข่าวที่ผู้นำจีนรับปากจะสนับสนุนให้คนจีนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปจำนวนมากในปีที่ผ่านมา เพียงแค่จีนกลับมา 50% ของช่วงก่อนโควิด จะช่วยเพิ่มรายได้ให้เศรษฐกิจไทยมหาศาล
ขณะเดียวกัน มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ที่รัฐบาลดำเนินการต่อเนื่องถือเป็นอีกกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยช่วยกระจายรายได้ถึงระดับร้านค้าและแผงลอย คาดว่าจะหนุนให้ GDP ไทยในไตรมาสสุดท้ายเติบโตได้ต่อเนื่อง
"มาตรการดังกล่าวช่วยกระจายเม็ดเงินลงสู่ระดับฐานรากได้จริง โดยเฉพาะร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย คาดว่าผลของมาตรการนี้จะช่วยให้ GDP ไทยในไตรมาส 4 ปี 2568 เติบโตได้เพิ่มขึ้นราว 0.1-0.2% และสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะมีการปรับเป้า GDP อีกครั้งในวันที่ 5 พ.ย. 2568 นี้"







