ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เตือน MoU แร่หายาก ไทยเสียเปรียบหลายด้าน

MoU แร่หายาก เพิ่มความเสี่ยงของไทยในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ  ได้ประโยชน์น้อยหากไทยไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคต่อเนื่องมูลค่าสูง

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการที่รัฐบาลไทยไปทำบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาหรือทำ MoU แร่หายาก จะเพิ่มความเสี่ยงของไทยในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา 

อาเซียนรวมทั้งไทยจะกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของมหาอำนาจ หากไทยเปิดรับการลงทุนด้านการสำรวจและผลิตแร่หายากตาม MoU จะทำให้ “ไทย” กลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐฯ

ซึ่งจะแข่งขันโดยตรงกับจีนที่มีอำนาจผูกขาดอยู่ในโครงสร้างตลาดขณะนี้ จีนครองส่วนแบ่งตลาด 86% ของแปรรูปแร่หายาก 

นอกจากนี้ การที่ ไทย ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีในการสำรวจ สกัด คัดแยกและผลิต ก็จะเป็นเปิดช่องทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทางด้านนี้และสหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบงำอุตสาหกรรมแร่หายากและเศรษฐกิจไทย 

ความอ่อนแอในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะเปิดโอกาสให้มีการตักตวงส่วนเกินทางเศรษฐกิจโดยบรรษัทข้ามชาติผ่านระบบการค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้ 

โครงการลงทุนเหมืองแร่หายากจะเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุด ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจะไม่คุ้มกับความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน กากพิษจากกระบวนการผลิตจะถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินไทย 

ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขโดยแนวทางการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและเตรียมการสำหรับการรองรับการลงทุนให้ดีพอ  

“ไทย” ในฐานะผู้ผลิตอันดับ 4 ของโลกจะกลายเป็น “หมาก” สำคัญในการเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ  เราไม่ควรเป็นเพียง “หมาก” และ ผลประโยชน์จากการลงทุนจะเกิดต่อสาธารณชนโดยรวม 

เราต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายที่เหมาะสม มีการเตรียมความพร้อมและมีแนวทางชัดเจนในการรองรับผลกระทบด้านลบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนและคุณภาพชีวิตของประชาชน

รวมทั้ง การรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ วางตัวเป็นกลาง และ หลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสงครามทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีน

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์น้อยมากจากการเปิดให้มีการสำรวจและผลิตแร่หายากเพิ่มเติม หากไทยไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคต่อเนื่องมูลค่าสูง ไม่สามารถมีกระบวนการและกลไกในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเรียนรู้การสำรวจ การแปรรูป การผลิต 

ผลกระทบด้านบวกจากการทำ MoU นั้นประกอบไปด้วย ผลประโยชน์จากการลงทุนต่อเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมสำรวจ แปรรูปแร่ เพิ่มรายได้ภาครัฐ เกิดการพัฒนาต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้ง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 

ส่วนผลกระทบด้านลบ อาจเกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีหลายมิติ การทำเหมืองแร่อาจก่อให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่า พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตรกรรมอาจเปลี่ยนสภาพไป อาจเกิดมลพิษทางอากาศและทางน้ำ มีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตประชาชนได้ 

   ระบบการกำกับดูแลและระบบกฎหมายของไทยยังมีช่องโหว่และอาจสร้างปัญหาความปลอดภัยของชีวิตและสิ่งแวดล้อมในวงกว้างได้ 

นอกจากนี้การกำกับดูแลการใช้เทคโนโลยี ต้องให้มีการใช้เทคโนโลยีสำรวจและผลิตที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 

ข้อน่ากังวลต่อ MoU นี้ คือ ไทยค่อนข้างเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิการสำรวจและการลงทุน เงื่อนไขการยกเลิก รวมทั้ง ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมและทางด้านภูมิรัฐศาสตร์

ปัจจุบัน ไทยยังไม่มีวิธีการจัดการกากกัมมนตภาพรังสีที่ชัดเจน หากกากแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำผิวดินต่างๆจะเกิดผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง 

สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้ว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตแร่หายากอันดับ 4 ของโลกและมีมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยมีการนำเข้าหินจากเมียนมาและออสเตรเลีย แปรรูปแล้วส่งออก เป็นทางผ่าน ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยมากนัก

อย่างไรก็ตาม การจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เราต้องมีการลงทุนทางด้านนวัตกรรมเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไทยขาดแคลนแรงงานทักษะสูง 

ล่าสุด อุปสงค์ของแรงงานทักษะสูงเองชะลอตัวลงจากภาคการลงทุนชะลอตัวลง ภาคการลงทุนเติบโตช้าลงก็เป็นผลจากการที่เราขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ผลิตภาพโดยรวมจึงต่ำทำให้ขาดศักยภาพในการลงทุน 

ปัญหาจึงวนเวียนอยู่เช่นนี้ รัฐจึงควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมให้ชัดเจนและสร้างกลไกให้เกิดแรงจูงใจให้เอกชนไทยลงทุนพัฒนานวัตกรรม 

การที่รัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลต่างชาติต้องผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและกลไกรัฐสภาก่อน ส่วนการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MoU เรื่อง “แร่หายาก” นั้น แม้นยังไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องสำคัญ 

ฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนก่อนการลงนาม การไปทำข้อตกลงใดๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ขอเสนอให้ใช้โมเดลพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตย เป็นโมเดลการพัฒนาที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เอา “คุณภาพชีวิต” ของประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา 

การพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตย จะช่วยสนองความจำเป็นของปัจจุบันโดยไม่ต้องเบียดบังความจำเป็นของอนุชนรุ่นหลัง ภาครัฐจะเปิดรับภาคประชาสังคมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย มีการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่างๆตามหลักการประชาธิปไตย.