ไทยเร่งนัด ‘USTR’ เจรจาลดภาษีเพิ่ม เปิดข้อตกลงสหรัฐบีบเปิดตลาดเสรีเพิ่ม

ไทยเร่งนัด ‘USTR’ เจรจาลดภาษีเพิ่ม เปิดข้อตกลงสหรัฐบีบเปิดตลาดเสรีเพิ่ม

ไทย–สหรัฐเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าแบบ “ต่างตอบแทน” หลังสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทย 19% โดยตั้งเป้าสรุป และลงนามภายในปี 2568 อนุทิน ใช้เวทีประชุมอาเซียน และเอเปคเข้าหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อขอลดภาษี และปรับเงื่อนไขทางการค้าให้ไทย

KEY

POINTS

  • ไทย–สหรัฐ เดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าแบบ “ต่างตอบแทน” หลังสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทย 19% โดยตั้งเป้าสรุปและลงนามภายในปี 2568
  • อนุทิน ใช้เวทีประชุมอาเซียนและเอเปคเข้าหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อขอลดภาษีและปรับเงื่อนไขทางการค้าให้ไทย
  • ขณะที่เอกนิติ มั่นใจทิศทางการเจรจาเป็นบวก หลังลงนาม MOU แร่หายากเปิดทางไทยเจรจาเพิ่ม
  • กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนที่ประกาศโดยทำเนียบขาวครอบคลุมการลดภาษี 99% ของสินค้าสหรัฐ ผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนดิจิทัล ยกระดับมาตรฐานแรงงาน–สิ่งแวดล้อม

ความคืบหน้าการเจรจาภาษีระหว่างประเทศไทย และสหรัฐอเมริกาภายหลังจากที่สหรัฐได้มีการประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciproc al Tariff) ประเทศไทยที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.68 ที่ผ่านมา โดยเปิดทางให้มีการเจรจาเพิ่มเติมได้ก่อนที่จะมีการลงนามร่วมกันภายในปี 2568 นี้  

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้ใช้โอกาสในการพบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ 2 ครั้งในเวทีประชุมสุดยอดอาเซียน ที่มาเลเซีย และการประชุมเอเปค ที่ประเทศเกาหลีใต้ ขอให้สหรัฐพิจารณาลดภาษีให้ไทยให้ลดต่ำลงจากในระดับปัจจุบันที่ 19% รวมทั้งพิจารณาในเงื่อนไขที่ดีกว่า ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับปากที่จะแจ้งให้ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ไปพูดคุยกันต่อไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางที่เป็นบวกสำหรับไทย

"เอกนิติ" ยันทิศทางเจรจาเป็นบวก

ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาภาษีกับสหรัฐ กล่าวว่า การเจรจากับสหรัฐในเรื่องภาษีตอบโต้นั้นมีสัญญาณเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) ที่ประกาศออกมาค่อนข้างเป็นบวกสำหรับประเทศไทย เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนต้องเผชิญภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงกันทำให้ไทยไม่ได้เสียเปรียบประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ขณะที่การลงนามในข้อตกลง (MOU) เรื่องของแร่หายากที่ไทยได้ลงนามในความร่วมมือนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และแน่นแฟ้น เป็นการสร้างความร่วมมือที่ทำให้ไทยสามารถเจรจากับสหรัฐเพิ่มเติมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะได้รับการยกเว้นภาษีเป็น 0% เมื่อส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐ

ส่วนการเจรจาต่อไปนั้นขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการนัดหมายกับ USTR เพื่อเจรจากันเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ โดยสิ่งที่ต้องมีการคุยกันเพิ่มเติมคือ เรื่องของ Regional Value Content (RVC) และรายละเอียดอัตราภาษีศุลกากรที่ไทยจะยกเว้นภาษีให้สหรัฐตามข้อตกลง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่จะมีการเจรจากันต่อได้แม้จะมีการประกาศข้อตกลงออกมาแล้ว

“ปัจจุบัน รัฐบาลไทยกำลังอยู่ระหว่างการ นัดหมายกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เพื่อเจรจาเพิ่มเติมต่อไป โดยทั้งสองประเทศตั้งเป้าที่จะ เจรจา และสรุปข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนให้แล้วเสร็จ ในปีนี้ และเตรียมพร้อมสำหรับการลงนาม และกระบวนการภายในประเทศก่อนที่ข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้” นายเอกนิติ ระบุ

เปิดกรอบข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐ 

ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเสร็จสิ้นการร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เว็บไซต์ทำเนียบขาว ได้เผยแพร่ กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน ระหว่างประเทศไทย และสหรัฐ (JOINT STATEMENT ON A FRAMEWORK FOR A UNITED STATES-THAILAND AGREEMENT ON RECIPROCAL TRADE)

โดยมีเนื้อหาที่ระบุว่าสหรัฐอเมริกา และไทย ได้ตกลงกันใน กรอบความตกลงการค้าแบบต่างตอบแทน (Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกของทั้งสองประเทศเข้าถึงตลาดของกัน และกันในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความตกลงนี้จะต่อยอดจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีมาอย่างยาวนาน อาทิ สนธิสัญญาไมตรี และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย–สหรัฐ ปี 1966 และกรอบความตกลงว่าด้วยการค้า และการลงทุนไทย–สหรัฐ ปี 2002  โดยประเด็นสำคัญของ “ความตกลงการค้าแบบต่างตอบแทน” ระหว่างสหรัฐ และไทย

ไทยยกเลิกภาษีนำเข้าสหรัฐ 99% 

โดยไทยจะยกเลิกภาษีนำเข้า สำหรับสินค้าประมาณ 99% ของทั้งหมด ครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และเกษตรจากสหรัฐ จะคงอัตราภาษีตอบแทนที่ 19% ตามคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14257 ลงวันที่ 2 เม.ย.2025 (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) สำหรับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากไทย และจะกำหนดรายการสินค้าบางประเภทในภาคผนวก (Appendix III) ของคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14346 (5 ก.ย.2025) ให้ได้รับอัตราภาษีตอบแทน 0%

ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกัน แก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) โดยไทยให้คำมั่นว่าจะยอมรับยานยนต์ที่ผลิตตามมาตรฐานความปลอดภัย และมลพิษของสหรัฐ ยอมรับใบรับรองจากองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐ (FDA) สำหรับอุปกรณ์การแพทย์ และยาออกใบอนุญาตนำเข้าเอทานอลจากสหรัฐ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ปรับปรุงกฎหมายศุลกากร โดยยกเลิกระบบรางวัลเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่จับผิดการละเมิดกฎ ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล และมาตรฐานด้านกฎระเบียบที่ดี
 

กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร-ปศุสัตว์

ไทยจะดำเนินการ ลดอุปสรรคต่อสินค้าอาหาร และเกษตรจากสหรัฐ เช่น เร่งรัดการอนุญาตให้สินค้าปศุสัตว์ และเนื้อสัตว์จากสหรัฐ ที่ผ่านการรับรองจาก Food Safety and Inspection Service (FSIS) เข้าสู่ตลาดไทย แก้ไขข้อกำหนดทางเทคนิคให้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ และการประเมินความเสี่ยง ยอมรับใบรับรองจากหน่วยงานกำกับของสหรัฐ ที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว

ทั้งสองประเทศจะดำเนินการร่วมกันเพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานสากล เช่น ปรับแก้กฎหมายเพื่อรับรองเสรีภาพในการรวมตัว และเจรจาต่อรองของแรงงาน เพิ่มการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีความเสี่ยงต่อการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ไทยให้คำมั่นว่าจะ รักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในระดับสูง และบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปราบปรามการค้าไม้ผิดกฎหมาย สนับสนุนเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดำเนินการตามความตกลง WTO ว่าด้วยการอุดหนุนภาคประมง ต่อต้านการทำประมง และการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย

ทั้งสองประเทศจะ ร่วมกันจัดการปัญหาทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) โดยไทยจะเร่งแก้ปัญหาที่ค้างคามานาน เช่น การละเมิดเครื่องหมายการค้า การละเมิดลิขสิทธิ์ องค์กรจัดเก็บลิขสิทธิ์เถื่อน การเลี่ยงมาตรการป้องกันทางเทคโนโลยี และปัญหาค้างสะสมในการขอจดสิทธิบัตร ไทยจะยกเลิกข้อจำกัดต่อการค้า และการลงทุนด้านดิจิทัล เช่น ไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัลในรูปแบบที่เป็นการเลือกปฏิบัติกับสหรัฐ อนุญาตให้มีการโอนข้อมูลข้ามพรมแดนเพื่อประกอบธุรกิจ สนับสนุนการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ใน WTO

ผ่อนคลายข้อจำกัดการถือหุ้นต่างชาติในภาคโทรคมนาคม ไม่บังคับโควตาภาพยนตร์ (screen quota)  และยกเลิกข้อกำหนดให้ประมวลผลข้อมูลภายในประเทศสำหรับธุรกรรมบัตรเดบิต

ทั้งสองประเทศจะร่วมกัน จัดการพฤติกรรมที่บิดเบือนของรัฐวิสาหกิจ เสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคงระดับชาติ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น และนวัตกรรม รวมถึงร่วมมือด้านการควบคุมการส่งออก การคัดกรองการลงทุน และการปราบปรามการหลีกเลี่ยงภาษี

ไทยต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐ 18.8 พันล้านดอลลาร์

ทั้งสองประเทศรับทราบข้อตกลงเชิงพาณิชย์ระหว่างบริษัทสหรัฐ และไทยในหลายสาขา ได้แก่ การนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และธัญพืชแห้ง (DDGS) มูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี สาขาพลังงาน เช่น การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) น้ำมันดิบ และอีเทน มูลค่าประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และอากาศยาน จำนวน 80 ลำ รวมมูลค่าประมาณ 18.8 พันล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์ต่อจากนี้ สหรัฐ และไทยจะเร่งเจรจาและสรุป ความตกลงการค้าแบบต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Trade) เพื่อเตรียมลงนามและดำเนินกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ ก่อนให้ความตกลงนี้มีผลบังคับใช้ต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์