‘เอเปค’เผชิญหนี้พุ่ง-การค้าอ่อนแรง จีดีพีปี69โต2.9%สวนปี68โตเด่น3.1%

เอเปคชี้ปีนี้โตเด่นเกิดคาด จีดีพีขยายตัว ได้ 3.1%ปัจจัยผวาภาษีทรัมป์ทำเร่งส่งออก ขณะดีมานด์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลพุ่ง แต่ห่วงปี69 ภาวะหนี้สาธารณะพุ่งแตะ110% ความไม่แน่นอนทางการค้าและความขัดแย้งทั่วโลกกดการค้าอ่อนแรง ทำจีดีพีโตได้แค่ 2.9%
การประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก(Asia-Pacific Economic Cooperation) หรือเอเปค ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของ 21 เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นับเป็นเวทีการประชุมระดับผู้นำที่สามารถกำหนดทิศการเดินไปข้างหน้าของเศรษฐกิจภูมิภาคซึ่งจะสร้างผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย
คาร์ลอส คูริยามะ ผู้อำนวยการหน่วยสนับสนุนนโยบายเอเปค เปิดเผยถึง รายงาน APEC Regional Trends Analysis ว่า
การเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปคคาดว่าจะสูงถึง 3.1% ในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ว่าจะเติบโต 3.0% เนื่องจากกิจกรรมการค้าที่ต้องรับตัวรับความไม่แน่นอนในอนาคต และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง
จีดีพีภูมิภาคเอเปคปี69 โตได้แค่2.9%
ในส่วนของคาดการณ์สำหรับปี 2569 รายงานระบุว่า เศรษฐกิจเอเปคจะชะลอตัวลงเล็กน้อยทำให้คาดการณ์จีดีพีปี2569อยู่ที่ 2.9% เนื่องจากปัจจัยหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น การค้าที่อ่อนแอลง และปัจจัยกระตุ้นชั่วคราวที่ค่อยๆ หายไป เช่น การส่งออกล่วงหน้าและการสะสมสินค้าคงคลังเพื่อรับมือกับข้อจำกัดทางการค้า
“เศรษฐกิจเอเปค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจ ได้แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวอย่างโดดเด่นในการตอบสนองต่อเงื่อนไขทางการค้าและนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ความยืดหยุ่นนี้กำลังถูกทดสอบ เมื่อแรงกระตุ้นจากปัจจัยชั่วคราวเริ่มจางหายไป และแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่รุนแรงขึ้น เช่น หนี้สินที่เพิ่มขึ้นและการค้าที่ชะลอตัว เริ่มส่งผลให้เห็น”
ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยที่ต้องติดตามคือ แม้ว่าจำนวนมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าจะเพิ่มขึ้น แต่ผลกระทบรวมของมาตรการจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและมาตรการเยียวยาทางการค้าในขณะนี้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน
โดยการค้าสินค้าในเอเปคขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวถึง 6.5% และนำเข้าเพิ่มขึ้น 6.1% ด้านปริมาณการค้าก็สูงขึ้นเช่นกัน โดยส่งออกขยายตัว 8.8% และนำเข้าขยายตัว8.5%
จับตาหนี้สาธารณะพุ่ง 110%ต่อจีดีพี
เกลเซอร์ นีโญ เอ. วาสเกซ นักวิจัยจากหน่วยสนับสนุนนโยบายและผู้ร่วมเขียนรายงาน กล่าวว่า โมเมนตัมการค้าในปีนี้ค่อนข้างน่าพอใจ แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ภาคธุรกิจเร่งส่งออกก่อนที่จะมีการบังคับใช้ข้อจำกัดใหม่ ดังนัั้น คาดว่าการเติบโตของการส่งออกสินค้าจะชะลอตัวลงเหลือประมาณ 1.1% ในปี2569 เนื่องจากปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้คลี่คลายลงแต่ความตึงเครียดทางการค้ายังคงมีอยู่
นอกจากนี้ รายงานเตือนถึงข้อจำกัดทางการคลังที่เพิ่มมากขึ้นทั่วภูมิภาค หนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลกลางในเอเปคคาดว่าจะสูงกว่า 110 % ของ GDP ภายในปี 2569 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการระบาดที่ยังคงยืดเยื้อ การฟื้นตัวของรายได้ที่ช้าลง และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและบริการสังคมเมื่อประชากรสูงอายุ
รีอา ซี. เฮอร์นันโด นักวิเคราะห์จากหน่วยสนับสนุนนโยบาย และผู้ร่วมเขียนรายงาน กล่าวอีกว่า หนี้ที่เพิ่มขึ้นกำลังกัดกร่อนพื้นที่ทางการคลัง เช่นเดียวกับที่เศรษฐกิจจำเป็นต้องลงทุนในนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และทุนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชากรสูงอายุต้องการการใช้จ่ายด้านสุขภาพ เงินบำนาญ และบริการสังคมที่สูงขึ้น
“การปฏิรูปที่เสริมสร้างกรอบการคลังและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐมีความจำเป็นมากขึ้นเพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างเพียงพอ”
เงินเฟ้อ-ราคาต่ำบริหารการคลังง่ายขึ้น
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อในเอเปคยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2% ในไตรมาสที่สามของปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะอุปทานที่ดีขึ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ค่อนข้างคงที่ สิ่งนี้ทำให้ธนาคารกลางมีช่องทางในการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยนโยบายและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมแรงกดดันด้านราคา
แม้จะมีความท้าทายใหม่ๆ เหล่านี้ รายงานฉบับนี้ยังเน้นย้ำว่าความร่วมมือยังคงเป็นเสาหลักสำคัญในการปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้นและความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ สภาพแวดล้อมทางนโยบายที่คาดการณ์ได้ควบคู่ไปกับการเจรจาอย่างเปิดเผยจะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วภูมิภาค
“เอเปคต้องเดินหน้าบนเส้นทางที่ละเอียดอ่อนเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปที่กล้าหาญเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่น” คุริยามะกล่าว “ความร่วมมือระดับภูมิภาคที่สามารถปรับตัวได้เป็นสิ่งจำเป็น และนี่คือจุดที่เอเปคมีบทบาทสำคัญ นั่นคือการจัดเตรียมแพลตฟอร์มสำหรับการเจรจาอย่างเปิดเผยและแนวทางแก้ไขร่วมกัน ซึ่งส่งเสริมกรอบการทำงานที่คาดการณ์ได้และโปร่งใสเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน”
เอกชนร้องร่วมมือลดความไม่แน่นอน
ด้านเวทีสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค (ABAC) คิวโฮ ลี ประธานABAC ประจำปี 2568 กล่าวว่า ในขณะที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความแตกแยกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงจำเป็นต้องเชื่อมช่องว่าง เสริมพลังให้ภาคธุรกิจ และสร้างเงื่อนไขแห่งความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวสำหรับทุกคน
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการประชุมในปีนี้คือหัวข้อ “Bridge, Business, Beyond” ซึ่งสะท้อนถึงข้อเรียกร้องของ ABAC ที่ต้องการสร้างความร่วมมือใหม่ระหว่างเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ ABAC เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการค้าที่อิงกฎเกณฑ์ ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น และนวัตกรรมที่ยั่งยืนเพื่อสร้างความมั่นคงและโอกาสสำหรับทุกคน
ABAC ได้พัฒนาข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง 41 ข้อสำหรับผู้นำเอเปค ซึ่งเป็นตัวแทนของเสียงจากภาคธุรกิจทั่วภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วย ด้านการค้า : ระบบการค้าพหุภาคีที่อิงกฎเกณฑ์อย่างต่อเนื่อง เร่งรัดการบังคับใช้เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) อย่างจริงจัง และสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันมากขึ้นสำหรับผู้หญิงและกลุ่มอื่นๆ ส่งเสริมการค้าดิจิทัลที่ราบรื่นและสอดคล้องกัน และสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นผ่านโครงสร้างพื้นฐานทางทะเลที่แข็งแกร่งขึ้นและศูนย์ความเป็นเลิศเอเปคแห่งใหม่ด้านการค้าไร้กระดาษ
เร่งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
ด้านความยั่งยืน: ผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่มุ่งมั่น สมจริง และครอบคลุม นำกรอบการค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ เพื่อใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานแบบหมุนเวียนและคาร์บอนต่ำ
ด้านAI และนวัตกรรมดิจิทัล: การสร้างหลักประกันการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืนอย่างเท่าเทียม การกำหนดรูปแบบการใช้งานและการกำกับดูแล AI อย่างมีความรับผิดชอบและปลอดภัย และการพัฒนากฎเกณฑ์การค้าดิจิทัลที่ทำงานร่วมกันได้และสอดคล้องกัน
ด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์: ระดมเงินทุนเพื่อปิดช่องว่างการลงทุนประจำปีมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการรับมือกับภัยพิบัติ พร้อมทั้งสร้างหลักประกันความสามารถในการคาดการณ์นโยบายและสนับสนุนแผนงานกระบวนการของรัฐมนตรีคลังที่มองการณ์ไกล
ด้านชีวภาพและการดูแลสุขภาพ: ขยายการเข้าถึงการดูแลสุขภาพอย่างเท่าเทียม อำนวยความสะดวกในการใช้ข้อมูลการดูแลสุขภาพ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเชิงปฏิรูป เช่น จีโนมิกส์และ AI เพื่อจัดการกับปัญหาประชากรศาสตร์







