ถอดรหัสปาฐกถา'อนุทิน'บนเวทีนักธุรกิจเอเปคชูเทคโนโลยียกระดับ-ปลดล็อกพัฒนาไทย

อนุทิน ยกเทคโนโลยีร่วมพัฒนา 3 ด้านไทยไปไกลกว่าเดิม ย้ำความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจการเข้าถึงพลังนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปคประจำปี 2568 (APEC CEO Summit 2025) ภายใต้หัวข้อ “Bridge. Business. Beyond.” ว่า รัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ การสร้างโอกาสทางธุรกิจ และการมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตที่ต้องการ
ประการแรก การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ‘การเติบโตที่แท้จริงต้องเริ่มจากประชาชน เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไร้ความหมาย หากไม่เป็นการเติบโตที่ทุกคนมีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์จากพลังของนวัตกรรม’
ประการที่สอง การสร้างโอกาสทางธุรกิจ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ‘การเสริมพลังให้กับประชาชนต้องควบคู่ไปกับการเสริมพลังให้ภาคธุรกิจที่เป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจไทย’ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และพัฒนาระบบสินเชื่อให้โปร่งใสและเข้าถึงได้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมเร่งขับเคลื่อนโครงการ “SME Reboot and Go Digital” เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 200,000 ราย ให้สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เข้าถึงการตลาดดิจิทัล และระบบ e-payment ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เช่น การเชื่อมโยงระบบ PromptPay ของไทย กับระบบ PayNow ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งแรกในอาเซียน สนับสนุนการทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
การปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจต้องปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่ทำธุรกิจได้ง่าย มีกติกาชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างยั่งยืน โดยไทยมีเป้าหมายที่จะการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับ
ธรรมาภิบาล การกำกับดูแลดิจิทัล และความโปร่งใสของภาครัฐให้เทียบเท่าสากล"
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เริ่มกระบวนการปฏิรูปการบริหารภาครัฐ ลดขั้นตอนราชการ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ดึงดูดการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นในโลกออนไลน์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก ในการรับมืออาชญากรรมไซเบอร์และการหลอกลวงออนไลน์
ประการสุดท้าย การมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม รัฐบาลร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น Tesla, BYD, Foxconn, Google Cloud, Amazon Web Services, Huawei Cloud และ Microsoft เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศ รวมถึงลงทุนในโครงข่าย 5G ครอบคลุม 85% ของประชากร ระบบ Digital ID และสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทยกับศูนย์กลางในเอเชีย
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนและการเป็นผู้นำด้านภูมิอากาศ มองการแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นโอกาสในการสร้างงาน ดึงดูดการลงทุน และขยายขอบเขตการเติบโต บริษัทไทย เช่น PTT และ SCG ลงทุนในไฮโดรเจนสีเขียวและวัสดุคาร์บอนต่ำ ขณะที่พันธมิตรระดับโลก เช่น BMW และ Toyota ขยายระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้ส่งเสริมตลาดคาร์บอน การเกษตรยั่งยืน และกลไกการเงินสีเขียว ซึ่งสนับสนุนไทยในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050







