เจาะลึกเศรษฐกิจโลกถดถอย | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

สัปดาห์ที่แล้วผมสรุปความเห็นไอเอ็มเอฟเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ซึ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกกําลังชะลอและจะชะลอมากขึ้นในปีหน้า โดยความเสี่ยงสำคัญคือการถลําเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
หมายถึง การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงจนติดลบ นักธุรกิจที่เป็นแฟนคอลัมน์หลายคนเห็นด้วยว่า ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ดี ทุกอย่างดูลดลงตกลง จึงอยากให้เจาะลึกเงื่อนไขที่จะผลักดันเศรษฐกิจโลกให้ถดถอยในปีหน้าเพื่อการเตรียมตัว นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีขณะนี้สัมผัสได้และมีให้เห็นไปทั่ว ในประเทศ กำลังซื้ออ่อนแอ ประชาชนประหยัด ไม่จับจ่ายใช้สอย ราคาสินค้าเกษตรตกตํ่า และประชาชนกังวลมากขึ้นเรื่องรายได้ การชําระหนี้และการมีงานทํา ต่างประเทศก็เช่นกัน เศรษฐกิจชะลอ การแข่งขันสูง กดดันให้ต้นทุนและราคาสินค้าต่างๆ ลดลง กระทบรายได้และกําไรของภาคธุรกิจ
แม้ในประเทศที่การขยายตัวดูเข้มแข็งเช่น สหรัฐ บริษัทใหญ่ๆ ก็ประกาศลดพนักงาน กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงตามไปด้วย ทั้งเพราะตลาดแรงงานที่อ่อนแอมากขึ้นและเงินเฟ้อในหมวดสินค้าจําเป็นที่ยังสูง
ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดก็ตระหนักความอ่อนแอนี้ ล่าสุดได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว ให้เหตุผลว่าความอ่อนแอในตลาดแรงงานมีมากขึ้น ทั้งด้านอุปสงค์คือความต้องการจ้างงานของภาคธุรกิจลดลง สะท้อนเศรษฐกิจที่อาจชะลอมากขึ้น
และด้านอุปทานที่กําลังแรงงานลดลงจากนโยบายส่งกลับผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายและสังคมสูงวัย ส่งผลให้การจ้างงานใหม่ลดลง เพิ่มแรงกดดันมากขึ้นต่ออัตราค่าจ้าง ทั้งหมดทําให้อัตราเงินเฟ้อที่สูงในสหรัฐจะยิ่งลดลงยาก
ความอ่อนแอที่เศรษฐกิจโลกมีขณะนี้ บวกกับปัจจัยเสี่ยงที่มีมากที่ล้วนจะส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจโลกถ้าปะทุขึ้น เหล่านี้คือเชื้อไฟที่จะผลักดันเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอย จุดชนวนโดยการทํานโยบายที่ผิดพลาดที่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน เรามาดูความล่อแหลมของเรื่องนี้ในแต่ละปัจจัย
1.ความอ่อนแอของเศรษฐกิจ ไอเอ็มเอฟประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะชะลอลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 เป็นขยายตัวร้อยละ 3.2 ปีนี้และร้อยละ 3.1 ปีหน้า ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม เศรษฐกิจสหรัฐดูเข้มแข็งมากสุด ขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 2.0 ปีนี้และร้อยละ 2.1 ปีหน้า
ปีนี้การใช้จ่ายภาคเอกชนในสหรัฐขยายตัวดี ขับเคลื่อนด้วยการกู้ยืมและการปรับขึ้นของราคาหุ้น ภาครัฐก็กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษี ไม่แก้ปัญหาการคลังที่ประเทศมี ขณะที่การขึ้นภาษีนําเข้าและความไม่แน่นอนของนโยบายก็กระทบการตัดสินใจของภาคธุรกิจ ที่ดีหน่อยคือ การลงทุนด้านเอไอที่บูมมาก ดังนั้นโดยรวมการเติบโตปีนี้มาจากปัจจัยระยะสั้นที่ไม่ยั่งยืนและคงสร้างปัญหาตามมา
สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรขณะนี้อ่อนแอมากสุด ขยายตัวร้อยละ 1.2 ปีนี้และร้อยละ 1.1 ปีหน้า เป็นผลจากต้นทุนพลังงานที่สูง การผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากการค้าโลกที่ชะลอ นโยบายการคลังที่มีข้อจํากัดจากระดับหนี้ที่สูง สังคมสูงวัย และผลกระทบของสงครามยูเครนต่อความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจ อังกฤษก็มีปัญหาคล้ายกันแต่ซํ้าเติมด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูง
ขณะที่จีน ปัญหาโครงสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้รัฐบาลท้องถิ่นยังกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจ ซํ้าเติมด้วยข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ไม่มีข้อยุติ ทำให้เศรษฐกิจจีนจะชะลอเหลือร้อยละ 4.8 ปีนี้และร้อยละ 4.2 ปีหน้า ญี่ปุ่นก็เช่นกันจะขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 0.1 ปีหน้าจากผลของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอและเงินเฟ้อในประเทศที่สูง
กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ชะลอเช่นกันรวมถึงในเอเซียที่แม้ขยายตัวดี ความอ่อนแอทั้งหมดทําให้เศรษฐกิจโลกขณะนี้เปราะบางและอาจถูกกระทบรุนแรงถ้าความเสี่ยงที่มีในเศรษฐกิจโลกปะทุขึ้นเป็นปัจจัยลบ
2.ความเสี่ยงที่จะผลักดันเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะนี้มีมากและทุกความเสี่ยงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น อันที่สําคัญคือ ภาษีการค้าของทรัมป์ที่ยังไม่จบ ที่จะเพิ่มต้นทุนและกดดันเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจขยายวงหรือรุนแรงมากขึ้น ผลต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังเหลืออยู่จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงในอดีต
ปัญหาการคลังและความสามารถในการชําระหนี้ของประเทศที่มีหนี้สาธารณะมาก เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสหราชอาณาจักร รวมถึงหนี้ภาคเอกชนและหนี้ครัวเรือนในบางประเทศที่สูง ที่การชําระหนี้อาจเป็นปัญหาในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอ เหล่านี้คือ ความไม่แน่นอนที่เศรษฐกิจโลกมีที่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
3.โดยทั่วไป ในภาวะที่เศรษฐกิจอ่อนแอ ความเสี่ยงมีมาก และเศรษฐกิจเปราะบางต่อผลกระทบจากภายนอกหรือ Negative shock ในลักษณะนี้ เศรษฐกิจจะยังสามารถไปต่อได้ คือ ไปต่อแบบเปราะบางแต่ไม่เกิดวิกฤติ ถ้าความเสี่ยงที่มีไม่ปะทุขึ้น หรือปะทุขึ้นแต่นักลงทุนมั่นใจในความสามารถของเศรษฐกิจและรัฐบาลที่จะปรับตัวปรับนโยบายรับผลกระทบ
แต่ความมั่นใจนี้จะหายไปถ้านักลงทุนเห็นว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายผิดพลาด จะถอนการลงทุนและเปลี่ยนสถานการณ์ที่เปราะบางเป็นวิกฤติ กรณีเศรษฐกิจโลกขณะนี้ก็เช่นกัน การขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะเปลี่ยนการชะลอตัวของเศรษฐกิจเป็นภาวะถดถอย และนี่คือ กลไกที่จะนําเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
ถ้าถามว่ามีโอกาสไหมที่การดําเนินนโยบายของประเทศหลักจะผิดพลาด นําเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย คําตอบผมคือ มี ทั้งภาษีทรัมป์ที่ไม่นิ่ง ที่อาจมีเพิ่มเติมออกมาเหนือความคาดหมาย ซํ้าเติมเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่จบแบบรุนแรง ความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงนำโลกเข้าสู่สถานการณ์สงคราม
การขาดวินัยการคลังของประเทศที่มีหนี้มากทําให้ตลาดการเงินหมดความเชื่อมั่น และนโยบายการเงินของเฟดที่มองข้ามความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ นําเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะ Stagflation คือ เศรษฐกิจชะลอพร้อมอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งมักเป็นฉากทัศน์แรกของเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งหมดคือความเป็นไปได้ ที่ไม่มีใครบอกล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้น ตลาดการเงินจะหวั่นไหว และที่น่าห่วงสุดคือความผิดพลาดเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันหลายเรื่อง ทําลายความเชื่อมั่นของตลาดการเงินแบบทวีคูณ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก
นี่คือสิ่งที่ประมาทไม่ได้ เพราะทั้งหมดเป็นผลจากการตัดสินใจของมนุษย์ที่ผิดพลาดได้ ตลาดการเงินจึงตั้งการ์ดสูงเรื่องนี้ เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสองครั้งติดต่อกัน เราเองในฐานะนักลงทุนก็ควรต้องตระหนักและระมัดระวังเช่นกัน







