ราคาน้ำมันดิบ ป่วน หลังมีรายงานสหรัฐกำลังจะโจมตีเวเนซุเอลา 

ราคาน้ำมันดิบ ป่วน หลังมีรายงานสหรัฐกำลังจะโจมตีเวเนซุเอลา 

ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น หลังข่าวการโจมตีทางอากาศของสหรัฐต่อเวเนซุเอลาอาจเริ่มต้นขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะร่วงลง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาปฏิเสธข่าว

รอยเตอร์ รายงาน ราคาน้ำมันดิบ พุ่งสูงขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวว่าการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ในเวเนซุเอลาอาจเริ่มต้นขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะร่วงลงหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าวผ่านทางโซเชียลมีเดีย

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 6 เซนต์ หรือ 0.09% อยู่ที่ 65.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ณ เวลา 14.00 น.วันศุกร์ (31 ต.ค.68) ตามเวลาตะวันออกสหรัฐ

ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตของสหรัฐฯ (WTI) อยู่ที่ 60.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.54%

ราคาน้ำมันขยับขึ้นจากรายงานข่าวที่ว่า สหรัฐฯ อาจเริ่มโจมตีทางอากาศต่อเวเนซุเอลาภายในไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะปรับตัวลดลงหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย

“นี่คือกลยุทธ์หลอกหรือจริงของโดนัลด์ ทรัมป์กันแน่?” ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Price Futures Group กล่าว โดยชี้ว่าก่อนหน้านี้ทรัมป์ก็เคยปฏิเสธข่าวการโจมตีอิหร่าน ก่อนจะดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในเวลาต่อมา

“แน่นอนว่ามีผลกระทบกับตลาดเมื่อรายงานแรกเกี่ยวกับแผนการโจมตีเวเนซุเอลาถูกเปิดเผยออกมา” ฟลินน์กล่าว “หากเกิดการโจมตีในช่วงสุดสัปดาห์ ราคาจะพุ่งสูงขึ้นในวันจันทร์”

สหรัฐฯ ได้ส่งกองกำลังเฉพาะกิจซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เรือบรรทุกเครื่องบินเจอรัลด์ ฟอร์ด เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดของประเทศ นอกชายฝั่งเวเนซุเอลา ซึ่งเกินกว่าความจำเป็นในการโจมตีผู้ค้ายาเสพติดบนเรือขนาดเล็ก กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวทางทหารในทะเลแคริบเบียนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้การซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น น้ำมัน มีราคาแพงขึ้น

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวบอกกับรอยเตอร์ว่าซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก อาจลดราคาน้ำมันดิบเดือนธันวาคมสำหรับผู้ซื้อในเอเชียลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบก็ลดลงเช่นกัน หลังจากผลสำรวจอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมโรงงานของจีนหดตัวลงเป็นเดือนที่ 7 ในเดือนตุลาคม

ราคาน้ำมันเบรนท์และ WTI คาดว่าจะลดลง 2.9% และ 2.3% ตามลำดับในเดือนตุลาคม โดยกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) และผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่นอกกลุ่มโอเปกจะเร่งเพิ่มกำลังการผลิต

 

อุปทานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซียไปยังผู้ซื้อรายใหญ่อย่างจีนและอินเดีย

 

ผลสำรวจของรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเบรนท์เฉลี่ยจะอยู่ที่ 67.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าประมาณการเมื่อเดือนที่แล้วประมาณ 38 เซนต์ คาดว่าราคาน้ำมัน WTI เฉลี่ยจะอยู่ที่ 64.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าประมาณการในเดือนกันยายนที่ 64.39 ดอลลาร์สหรัฐเล็กน้อย

 

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการเจรจาดังกล่าวระบุว่า กลุ่มโอเปกพลัสมีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิตเล็กน้อยในเดือนธันวาคม ก่อนการประชุมกลุ่มในวันอาทิตย์

 

ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากโครงการริเริ่มข้อมูลองค์กรร่วม (Joint Organizations Data Initiative) ระบุว่า ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบียแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 6.407 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม

 

รายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ ระบุว่าการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว

 

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า จีนตกลงที่จะเริ่มกระบวนการซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ และอาจมีการทำธุรกรรมขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อน้ำมันและก๊าซจากอะแลสกา

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงมีความกังขาว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะกระตุ้นความต้องการพลังงานจากสหรัฐฯ ของจีนหรือไม่