BAFS ชี้เศรษฐกิจติดหล่ม ชง 'ปฏิรูปโครงสร้าง-ลดภาษีน้ำมัน' อุ้มท่องเที่ยวไทย

BAFS ชี้เศรษฐกิจติดหล่ม ชง 'ปฏิรูปโครงสร้าง-ลดภาษีน้ำมัน' อุ้มท่องเที่ยวไทย

"BAFS" ระบุ เศรษฐกิจติดหล่มหนัก หวั่นประเทศคู่แข่งแซงหน้า แนะรัฐเร่งปฏิรูปโครงสร้าง ชง "ลดภาษีน้ำมัน" อุ้ม "ภาคการท่องเที่ยว" ไทย

KEY

POINTS

  • ชี้ภาคการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติจากปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัยเรื่อง "ธุรกิจสีเทา" และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค
  • เสนอมาตรการเร่งด่วน (Quick Win) ให้รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินในประเทศจาก 4.726 บาทต่อลิตร เหลือต่ำกว่า 2 บาท เพื่อลดราคาตั๋วเครื่องบินและกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ
  • แนะรัฐบาลสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองเพิ่มขึ้น เช่น การต่อโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เนื่องจากตั๋วเครื่องบินที่แพงเป็นอุปสรรคสำคัญ
  • เรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว โดยการฟื้นฟูโครงการ EEC, พัฒนาบุคลากรสำหรับเศรษฐกิจใหม่ และปราบปรามธุรกิจสีเทาอย่างจริงจ

"อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย" กำลังเผชิญวิกฤติซ้ำซ้อน นักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังไม่กลับมา ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวระดับกลาง–ล่างใช้จ่ายน้อย ส่งผลธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารจำนวนมากทยอยปิดตัว ซ้ำเติมด้วยปัญหา ค่าเงินบาทแข็งค่า เมื่อเทียบกับเงินเยนและวอน ทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงกว่าคู่แข่ง จนไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขัน

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” อย่างตรงไปตรงมาถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤติซ้อนวิกฤติว่า กังวลอย่างยิ่งต่อภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็น “เครื่องจักร” ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยปัญหาไม่ได้มีเพียงแค่ปัจจัยเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาภายในที่ต้องเร่งแก้ไข ประกอบด้วย 

1. วิกฤติภาพลักษณ์ความปลอดภัย ถือเป็นเรื่องที่หนักที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะข่าวสารด้าน “ธุรกิจสีเทา” และการมีส่วนเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19

2. ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยดู “แพง” เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค ตัวอย่างนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เงินเยนอ่อนค่ามาก ทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายที่ต้นทุนสูงเกินไป และนักท่องเที่ยวหันไปเวียดนามหรือญี่ปุ่นที่ถูกกว่า ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวสวนทางคู่แข่ง โดยสถานการณ์นี้ น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ไปเที่ยวที่เวียดนามโต 44% สวนทางกับไทยที่ลดลง 35% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าทั้งปีไทยอาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 7-9% จากปีก่อน

Quick Win ลดภาษีน้ำมันเครื่องบิน-เที่ยวเมืองรอง

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ กล่าวว่า เพื่อแก้ไขสถานการณ์ในระยะสั้น มาตรการ “ควิก บิ๊ก วิน” ที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที คือการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอากาศยานในประเทศ ที่ปัจจุบันเก็บที่ 4.726 บาทต่อลิตร (คิดเป็น 23% ของราคาน้ำมัน) ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก เช่น เวียดนามเก็บเพียง 1.2 บาท การลดลงเหลือต่ำกว่า 2 บาท หรือ 1.40 บาท จะทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศถูกลง และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศได้ถึง 5-6% ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คุ้มค่า เนื่องจากรายได้ที่สูญเสียจากภาษีสรรพสามิตจะถูกชดเชยด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีรายได้นิติบุคคล จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ กระจายการท่องเที่ยวสู่เมืองรอง รัฐบาลควรมีการสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองเพิ่มมากขึ้น เช่น สามารถต่อโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" สำหรับห้องพักและร้านอาหารในเมืองรอง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำ โดยชี้ว่าตั๋วเครื่องบินที่แพงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางต่อไปยังเมืองรองได้

ปฏิรูปโครงสร้างระยะยาว ปั้น EEC-ปราบทุนสีเทา

สำหรับมาตรการในระยะยาว ควรมีการปฏิรูประบบโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

1. ฟื้นฟูโครงการ EEC จึงอยากฝากให้รัฐบาลไม่ควรทิ้งโครงการนี้ ซึ่งเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ดิจิทัล, เฮลท์แคร์, และ Aero Space โดยเฉพาะการเร่งรัดโครงการสำคัญอย่าง สนามบินอู่ตะเภา ให้เป็น Multi-Modal Transportation Center ที่เชื่อมโยงกับท่าเรือครูซ ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนและสร้างงานคุณภาพได้มหาศาล

2. พัฒนาบุคลากรเพื่อเศรษฐกิจใหม่ ขณะนี้เวียดนามแซงหน้าไทยในบาง Sector เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Trek) เพราะมีการลงทุนด้านบุคลากรมานาน โดยมหาวิทยาลัยและอาชีวะทำงานร่วมกับเอกชนอย่างใกล้ชิด เช่น กรณี Nvidia ไปลงทุนเวียดนาม

3. ปราบปรามธุรกิจสีเทาอย่างจริงจัง ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการมาอย่างถูกทาง โดยเฉพาะนโยบายปราบปรามทุนสีเทา, โรงงานศูนย์เหรียญ และการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะนอกจากจะกอบกู้ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการ จัดเก็บภาษี จากกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่เคยจ่ายภาษีอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของประเทศได้เป็นอย่างมาก

โอกาสพลังงานยั่งยืน วิจัยพืช ‘คาเมลินา’

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ กล่าวว่า ไทยมีโอกาสสำคัญในกระแสโลกด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งเป็นความต้องการของทั้งภาคการบินและการเดินเรือที่ถูกกำหนดโดยองค์กรระหว่างประเทศ (ICAO และ IMO) โดยเฉพาะภาคการบินที่จะมีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามข้อตกลงมาตรการ CORSIA ของ ICAO ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในปี 2570 (ค.ศ.2027) โดยประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) เนื่องจากที่มีพื้นที่เพาะปลูกที่ดีและสามารถผลิต Feedstock ได้

ทั้งนี้ BAFS อยู่ระหว่างพัฒนาสายพันธุ์พืชพลังงานแนวใหม่ “คาเมลินา” ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกง่าย เก็บเกี่ยวในระยะสั้น สามารถปลูกระหว่างช่วงนาปีกับนาปรัง ช่วยบำรุงดิน และนำเมล็ดมาสกัดเป็นน้ำมันสำหรับผลิต SAF อีกทั้ง ยังสร้างประโยชน์ Win-Win โดยพืชดังกล่าวสามารถให้ผลผลิตทั้งต้น โดยกากเมล็ดใช้ทำอาหารสัตว์ที่มีโอเมก้า 3 สูง และลำต้นไถกลบช่วยบำรุงดิน ลดการใช้ปุ๋ย ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ยั่งยืน

เร่งประกาศแผน PDP-เปิดเสรีไฟฟ้า 

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอคือควรเร่งดำเนินการแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (แผน PDP) โดยเร็วที่สุด รวมถึงการดูแลค่าไฟฟ้า โดยสามารถส่งเสริม Solar Rooftop ที่นอกจากจะสนับสนุนการติดตั้งในภาคประชาชนแล้ว ยังควรมีการผ่อนปรนด้านกฎระเบียบ ในการขอใบอนุญาตติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปสำหรับผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ปัจจุบันใช้เวลารอนานถึง 6-7 เดือน

อีกทั้ง เห็นด้วยกับการวางเป้าหมายเปิดเสรีพลังงานไฟฟ้า โดยสนับสนุนการเปิดตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี (Wheeling Market/Direct PPA) เพื่อให้เกิดการแข่งขัน ตลาดซื้อขายเติบโต และกระตุ้นการลงทุนในระบบสำรองไฟ (แบตเตอรี่) ซึ่งทั้งหมดนี้ในระยะยาวจะทำให้ค่าไฟทั้งระบบลดลง ดังนั้น โครงการนำร่อง Direct PPA จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ ที่เคยอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรม 

“รัฐบาลจะต้องแสดงภาวะผู้นำและส่งสัญญาณความจริงจังในการ ‘ปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง’ ควบคู่ไปกับมาตรการ ‘ควิก บิ๊ก วิน’ เพื่อฟื้นฟูขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่กำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วงในระยะยาว”