วิกฤติอะลูมิเนียมสหรัฐ สะเทือนห่วงโซ่ยานยนต์ โอกาสทองผู้ประกอบการไทย

สคต. ไมอามี ชี้ โรงงานไทยเร่งใช้กลยุทธ์ 'Cost-Down, Value-Up' ลด TCO ให้คู่ค้าสหรัฐฯ หลังผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐขาดแคลนวัตถุดิบทำให้ต้องหยุดการผลิต
KEY
POINTS
- เหตุเพลิงไหม้โรงงานอะลูมิเนียม Novelis ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ Ford และ Stellantis ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานและสายการผลิตรถยนต์
- วิกฤตดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ต้องกระจายความเสี่ยงและหาแหล่งจัดหาชิ้นส่วนใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย
- ผู้ประกอบการไทยควรเร่งขึ้นทะเบียนกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ (OEM) เตรียมความพร้อมเป็นผู้ผลิตสำรอง (Bridge Supplier) และหาพันธมิตรในเม็กซิโกหรือสหรัฐฯ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการผลิตใกล้ตลาด
- นอกเหนือจากยานยนต์ ยังมีโอกาสในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังมองหาผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะในไทยเพื่อทำสัญญาระยะยาว
เว็ปไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในประเทศ เมืองไมอามี สหรัฐ ฯ รายงานถึงสถานการณ์การผลิตรถยนต์ของสหรัฐหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานอะลูมิเนียมของบริษัท Novelis ในเมืองออสวีโก รัฐนิวยอร์ก เมื่อเดือนก.ย. พ.ศ. 2568 ว่า เป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐอเมริกา โรงงานแห่งนี้เป็นผู้ผลิตแผ่นอะลูมิเนียมระดับอุตสาหกรรมยานยนต์รายสำคัญ ซึ่งส่งวัตถุดิบให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้ง Ford และ Stellantis ในสัดส่วนสูง
การหยุดการผลิตในช่วงเวลาสั้นๆ ได้สร้างผลกระทบต่อสายการประกอบรถยนต์หลายรุ่น ตั้งแต่ SUV ระดับพรีเมียม ไปจนถึงรถกระบะรุ่นขายดีอย่าง F-150 ที่ใช้แผ่นอะลูมิเนียมของ Novelis เป็นโครงสร้างหลัก จึงไม่น่าแปลกที่โรงงานของ Ford ในมิชิแกนและเคนทักกี รวมทั้งสายการผลิตของ Stellantis ในมิชิแกน ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวและส่งผลให้แรงงานหลายพันคนเข้าสู่ระบบการว่างงานชั่วคราวในทันที
ส่วนผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไม่รุนแรงเท่า เนื่องจาก Novelis เน้นผลิตอะลูมิเนียมเกรดตัวถังรถยนต์ แต่การขาดแคลนในตลาดสหรัฐฯ ย่อมส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นในทุกอุตสาหกรรมที่ต้องนำเข้าโลหะ
จากรายงานของ Novelis และหน่วยงานภาครัฐของนิวยอร์ก คาดว่าโรงงานออสวีโกจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ภายในต้นปี พ.ศ. 2569 แต่จะยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังในช่วงแรก เนื่องจากต้องซ่อมแซมระบบ hot mill และปรับกระบวนการควบคุมคุณภาพใหม่ทั้งหมด
แม้เหตุเพลิงไหม้จะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุเดียวของความตึงตัวในห่วงโซ่อุปทาน อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายทิศทางพร้อมกัน ทั้งปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง
หลังบริษัทผู้ผลิตชิป Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ต้องหยุดการส่งออกชั่วคราวจากข้อจำกัดด้านความมั่นคงกับจีน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและสหรัฐฯ มีสต็อกชิปเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและแร่หายากที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่ยังไม่ลดลงตามที่คาดหวัง เมื่อปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน อุตสาหกรรมยานยนต์จึงเผชิญภาวะต้นทุนสูงและความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลต่อราคายานยนต์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 50,000 ดอลลาร์ต่อคันโดยเฉลี่ยและทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์การจัดหาวัตถุดิบใหม่อย่างจริงจัง
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ที่พึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และกระตุ้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง แนวโน้มการผลิตใกล้ตลาดหรือ near-shoring จึงชัดเจนมากขึ้น
บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Ford และ Stellantis ต่างประกาศแผนลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานก็เริ่มมองหาแหล่งผลิตใหม่ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะเม็กซิโก ซึ่งมีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าและสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ได้เต็มที่
ทั้งนี้สคต.เมืองไมอามี สหรัฐฯ ได้ให้ความเห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ว่า แนวทางที่ควรพิจารณาดำเนินการในขณะนี้ ได้แก่
-ควรเร่งกระบวนการขอขึ้นทะเบียนกับผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ (OEM) หรือผู้รับจ้างผลิตระดับ Tier-1 ผ่านขั้นตอน Pre-Qualification เพื่อแสดงศักยภาพและมาตรฐานการผลิตในระดับสากล โรงงานที่มีมาตรฐานคุณภาพตามระบบ IATF 16949
-ควรเตรียมเอกสารเทคนิค เช่น PPAP IMDS และระบบตรวจสอบย้อนกลับให้พร้อม เพื่อเสนอเป็นผู้ผลิตสำรองหรือ Bridge Supplier สำหรับชิ้นส่วนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโครงสร้างหลัก เช่น ชิ้นส่วนยาง อินทีเรียร์ ฮาร์เนส หรือ ฮาร์ดแวร์โลหะรอง ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนซัพพลายเออร์รายเดิมที่ไม่สามารถส่งมอบได้ทันในช่วงเวลานี้
การแสดงความพร้อมด้านมาตรฐานและระยะเวลาการผลิตที่ยืดหยุ่นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว
-ควรวางแผนออกแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ให้สอดคล้องกับแนวโน้ม “ผลิตใกล้ตลาด” ของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ โดยเฉพาะการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในเม็กซิโกหรือสหรัฐฯ เพื่อทำขั้นตอนการประกอบขั้นสุดท้าย (Final Assembly หรือ Sub-Assembly) ให้ผ่านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ลดความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าและสร้างความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการส่งมอบสินค้าใกล้ฐานลูกค้าหลัก ซึ่งสอดคล้องกับแผนลงทุนใหม่ของ Stellantis และ Ford ที่เพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
บทเรียนจากภัยพิบัติที่ส่งผลต่อสายการผลิตในสหรัฐฯ เช่นนี้ ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมความพร้อมด้านการจัดการวัตถุดิบสำคัญ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ ซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของระบบควบคุมในรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่
แนวทางที่เหมาะสมคือการสร้าง “แผนกระจายความเสี่ยงของแหล่งวัตถุดิบ” หรือ Dual-/Triple-Sourcing (การจัดซื้อจากหลายแหล่งพร้อมกัน) เพื่อแสดงให้ลูกค้าในสหรัฐฯ เห็นว่าผู้ผลิตไทยมีระบบจัดการซัพพลายเชนที่มั่นคง โรงงานควรจัดทำ “BOM Mapping” (Bill of Materials Mapping หรือแผนผังวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ในการผลิต) เพื่อระบุชิ้นส่วนใดที่พึ่งพาแหล่งเดียว แล้วหาชิ้นส่วนทดแทนที่ผ่านการรับรองไว้ล่วงหน้า
รวมถึงเตรียม “สต็อกสำรองเพื่อความปลอดภัย” (Safety Stock) สำหรับสินค้าที่มักขาดตลาด เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์ต่อพ่วง การเตรียมระบบดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้การผลิตในประเทศไม่สะดุด แต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าต่างประเทศว่าโรงงานไทยมีศักยภาพเป็นผู้จัดหาที่ไว้วางใจได้ในช่วงที่ห่วงโซ่อุปทานโลกยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนภายใต้แนวคิด “Cost-Down with Value-Up” (แนวคิดที่พัฒนามาจากระบบการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น) ซึ่งหมายถึงการลดต้นทุนในกระบวนการผลิตโดยไม่ลดคุณภาพของสินค้า แต่ในทางกลับกันต้องเพิ่มคุณค่าหรือประสิทธิภาพของชิ้นส่วนให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะต้นทุนสูงจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้สามารถทำได้โดยการออกแบบหรือเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดน้ำหนักและยืดอายุการใช้งาน เช่น การใช้วัสดุคอมโพสิตเคลือบผิวกันรอย วัสดุซับเสียงและแรงสั่นสะเทือน (NVH – Noise, Vibration, and Harshness Material) หรือพัฒนาโมดูลไฟฟ้าที่มีระบบระบายความร้อน (Thermal Management System) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
หากผู้ประกอบการสามารถนำเสนอชิ้นส่วนที่ช่วยให้ “ต้นทุนรวมการเป็นเจ้าของ” ของลูกค้า (Total Cost of Ownership – TCO) ลดลงได้ จะมีโอกาสได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศและผ่านการพิจารณาเป็นผู้จัดจำหน่าย (Supplier Approval) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในด้านการจัดซื้อและสัญญาซื้อขาย ควรนำระบบ Index-Linked Contract มาใช้เพื่อบริหารความผันผวนของราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง โดยกำหนดให้ราคาซื้อขายผูกกับดัชนีราคาโลหะ เช่น LME Aluminum Index หรือ Fuel Surcharge Index เพื่อป้องกันความเสียหายจากการปรับราคากะทันหันในช่วงตลาดผันผวน แนวทางนี้ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถวางแผนต้นทุนได้แม่นยำและรักษาเสถียรภาพของสัญญาระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยควรจับสัญญาณดีมานด์ของรถกระบะและรถเชิงพาณิชย์ในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวหลัง Ford ประกาศเพิ่มกำลังผลิตที่ Kentucky Truck Plant และเตรียมทดแทนกำลังการผลิตที่สูญเสียจากเหตุเพลิงไหม้ การเตรียมวัตถุดิบและกำลังการผลิตล่วงหน้าในกลุ่มชิ้นส่วนระบบไฟ ยาง และ อินทีเรียร์ทนทาน จะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งซื้อใหม่ได้อย่างทันท่วงที
ในอีกด้านหนึ่งทางสคต.ไมอามี ได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ระดับโลกที่มีโรงงานในสหรัฐฯ และได้รับข้อมูลว่าความต้องการวัตถุดิบโลหะ โดยเฉพาะอะลูมิเนียม กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทดังกล่าวกำลังมองหาโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะในประเทศไทยเพื่อทำสัญญาว่าจ้างระยะยาว ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับโรงงานไทยที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเหล็กที่สามารถผลิตและขึ้นรูป Fabricated Metal ด้วยกรรมวิธี Laser Cutting หรือ CNC Press Brake โรงงานผลิต Plastic Injection Molded Product หรือโรงงานผลิต Wire Harness และโรงงานอะลูมิเนียมที่มีเทคโนโลยีการผลิตตามมาตรฐานสากล TTCM ขอเชิญผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติครบถ้วนติดต่อโดยตรงหรือผ่านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อเข้าร่วมโอกาสทางธุรกิจนี้
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและผู้ส่งออกชิ้นส่วนโลหะของไทยที่มีลูกค้าเดิมในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อุตสาหกรรมอื่น ควรใช้ช่วงเวลานี้กลับไปติดต่อคู่ค้ารายเดิมผ่านช่องทางที่เคยใช้ เช่น อีเมล การประชุมออนไลน์ หรือการเยี่ยมเยือนโดยตรง เพราะช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานตึงตัวเช่นนี้ คู่ค้าหลายรายกำลังมองหาแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ
การแสดงความพร้อมและติดต่อเชิงรุกในระยะนี้อาจทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับคำสั่งซื้อใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มเติม การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายโอกาสในตลาดสหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมโลกในปัจจุบัน







