เปิดสถิติไทยนำเข้าแร่หายาก ‘มาเลเซีย-เวียดนาม’ ตลาดหลัก

เปิดสถิติไทยนำเข้าแร่หายาก ‘มาเลเซีย-เวียดนาม’ ตลาดหลัก

เปิดสถิติ 9 เดือนปี 68 ไทยส่งออกแร่หายาก พิกัด “โลหะแรร์เอิร์ธ” มูลค่าส่งออก 57 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.92% ตลาดหลักญี่ปุ่น-เวียดนาม ด้านการนำเข้า 18 ล้านดอลลาร์ พุ่ง 48.55% แหล่งนำเข้าหลักมาเลเซีย-เวียดนาม ด้าน กรมเหมืองแร่ชี้ไทยมีศักยภาพในซัพพลายเชนโลก แม้ไม่มีแร่หายาก

KEY

POINTS

  • ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) ไทยนำเข้าแร่หายากในพิกัด 280530 (โลหะแรร์เอิร์ธ สแคนเดียม และอิตเทรียม) มูลค่า 18.04 ล้านดอลลาร์ โดยมีมาเลเซียเป็นตลาดนำเข้าอันดับ 1 มูลค่า 7.52 ล้านดอลลาร์ 
  • ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีเหมืองแร่หายากในเชิงพาณิชย์ แต่มีการนำเข้าแร่จากต่างประเทศเพื่อนำมาแต่งและปรับแต่งให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยมีโรงงานสำคัญ เช่น บริษัท สินแร่สาคร และ บริษัท รัตนรังษิวัฒน์ ที่เป็นฐานแต่งแร่หลักของประเทศ
  • กพร.พัฒนาเทคโนโลยี Reuse-Recycle แบตเตอรี่ EV เพื่อใช้ซ้ำเป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับอาคาร บ้านเรือน และโรงงาน ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนสอดรับนโยบาย “อุตสาหกรรมสีเขียว” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพลังงานสะอาด

โลกกำลังช่วงชิงความได้เปรียบในซัพพลายเชน “แร่หายาก” (Rare Earths) ซึ่งไทยกำลังมีบทบาทห่วงโซ่อุปทานโลก ในฐานะ ประเทศนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงแหล่งแร่รองรับการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าไทยกำลังอยู่ใน “จุดตัดเชิงยุทธศาสตร์” ของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากโลก การบริหารการนำเข้า-ส่งออกให้สมดุลจึงมีความสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และต่อยอดสู่การเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีสะอาดในอนาคต

ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร รายงานข้อมูลสถิติการส่งออก-นำเข้าแร่หายากของไทย ณ วันที่ 27 ต.ค.2568 พบว่า ไทยมีการค้าแร่หายาก 3 พิกัดศุลกากรหลัก ได้แก่ 

1.พิกัด 280530 (โลหะแรร์เอิร์ธ สแคนเดียม และอิตเทรียม) นำเข้ามูลค่ารวม 75 ล้านดอลลาร์ โดยโลหะแรร์เอิร์ธ สแคนเดียม และอิตเทรียม ในปี 2567 ไทยส่งออกมูลค่า 65.85 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้าลดลง 35.70% ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 15.58 ล้านดอลลาร์ ลดลง 35.45%

ส่วนใน 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) มูลค่าส่งออกกลับฟื้นตัวแตะ 57.83 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.92% ส่วนมูลค่านำเข้าอยู่ที่ 18.04 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นสูงถึง 48.55%

โดยตลาดส่งออก 5 อันดับแรก คือ ญี่ปุ่น 39.93 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6.69% รองลงมาเป็นเวียดนาม 15.01 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13.68%, สหราชอาณาจักร 1.47 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 121.79%, เอสโตเนีย 346,950 ดอลลาร์ และเนเธอร์แลนด์ 43,000 ดอลลาร์

ขณะที่ส่วนมูลค่านำเข้า 18.04 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 48.55% ตลาดนำเข้า 5 อันดับแรก คือ มาเลเซีย 7.52 ล้านดอลลาร์ ลดลง 20.28%, เวียดนาม 6.51 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1,269.63%, เอสโตเนีย 2.21 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 106.96%, สหรัฐ 1.24 ล้านดอลลาร์ และจีน 362,265 ดอลลาร์

2.พิกัด 284610 (สารประกอบของซีเรียม) โดยปี 2567 มูลค่าส่งออก 4,562 ดอลลาร์ และมีมูลค่านำเข้า 499,613 ดอลลาร์ ลดลง 1.20%

ในขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) ไม่มีการส่งออก แต่มีการนำเข้า 478,291 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19.08% ตลาดนำเข้าหลัก 5 อันดับแรก มาจาก จีน 267,159 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 51.72%, ญี่ปุ่น 155,522 ดอลลาร์ ลดลง 15.86%, สหรัฐ 20,786 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1,048.18%, สเปน 14,777 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.13% และเยอรมนี 7,742 ดอลลาร์ ลดลง 44.07%

3.พิกัด 284690 (สารประกอบของโลหะแรร์เอิร์ธอื่น ๆ) โดยปี 2567 มูลค่าส่งออก 113,451 ดอลลาร์ ลดลง 96.25% และมีมูลค่านำเข้า 63.42 ล้านดอลลาร์ ลดลง 34.56%

ในขณะที่ 9 เดือนปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) มีการส่งออก 73,279 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 49.13% และนำเข้า 71.46 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 47.20% โดยตลาดส่งออกมีเพียงมาเลเซีย 73,279 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 49.13% 

และตลาดนำเข้าหลักเป็นมาเลเซีย 37.39 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12.33%, สหรัฐ 23.05 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38,827%, จีน 5.35 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 140.32%, เวียดนาม 5.03 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 90.56% และอินเดีย 287,980 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4,200.52%

ทั้งนี้ สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมต้นน้ำสำคัญต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานหมุนเวียน และเซิร์ฟเวอร์ AI 

กพร.ชี้ไทยไม่มีเหมืองแต่มีศักยภาพแต่งแร่

นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีเหมืองแร่หายากในเชิงพาณิชย์ แต่มีการนำเข้าแร่จากต่างประเทศเพื่อนำมาแต่งและปรับแต่งให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยมีโรงงานสำคัญ เช่น บริษัท สินแร่สาคร (ประจวบคีรีขันธ์) และ บริษัท รัตนรังษิวัฒน์ (พังงา) ที่เป็นฐานแต่งแร่หลักของประเทศ

นอกจากนี้ ยังมี บริษัท นีโอ แม็กเนเคว้นช์ (Neo Magnequench) จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Neo Performance Materials จากแคนาดา ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) และวัสดุหายากขั้นกลางที่ใช้ใน รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และเซิร์ฟเวอร์ AI ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่มจากแร่นำเข้าในประเทศ

นายอดิทัต กล่าวต่อว่า ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านแร่หายาก ที่ลงนามวันที่ 26 ต.ค.2568 ถือเป็น “จุดเริ่มต้นสำคัญ” ที่จะช่วยให้ไทยเข้าถึงเทคโนโลยีแยกและปรับแต่งแร่ขั้นสูงจากสหรัฐ ครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจ การแต่งและแยกแร่ ไปจนถึงการรีไซเคิล 

ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่จะเป็นเวทีสร้างความร่วมมือการถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างโอกาสใหม่ในการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรม “แร่สะอาด”

เร่งสำรวจแหล่งลิเทียม–ผลิตแบตเตอรี่ EV

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมายให้ กพร.เร่งสำรวจแหล่งแร่ลิเทียมในประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ปัจจุบันได้ออกอาชญาบัตรพิเศษ 3 แปลงในพื้นที่ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา

ผลสำรวจเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ “แหล่งเรืองเกียรติ” มีปริมาณสำรอง 14.8 ล้านตัน เกรดลิเทียมออกไซด์เฉลี่ย 0.45% เพียงพอสำหรับผลิตแบตเตอรี่ 50 kWh ได้กว่า 1 ล้านคันรถ EV ส่วนแหล่ง “บางอีตุ้ม” อยู่ระหว่างสำรวจเพิ่มเติม

พร้อมกันนี้ กพร.พัฒนาเทคโนโลยี Reuse-Recycle แบตเตอรี่ EV เพื่อใช้ซ้ำเป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับอาคาร บ้านเรือน และโรงงาน ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนสอดรับนโยบาย “อุตสาหกรรมสีเขียว” และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพลังงานสะอาด