‘อมตะ’ เปิดสูตรเวียดนามดึง FDI แซงไทย 3 เท่า บริหารเข้ม–KPI ชัด–ผู้นำโฟกัสขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

บทเรียนประเทศเวียดนามดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้สูงกว่าไทยถึง 3 เท่า โดยมีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี "อมตะ" เผยปัจจัยความสำเร็จมาจากระบบบริหารที่เข้มแข็ง มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัด (KPI) ที่วัดผลได้จริงลงไปถึงระดับจังหวัดภาวะผู้นำที่มุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดำเนินการได้รวดเร็วเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุน
KEY
POINTS
- บทเรียนประเทศเวียดนามดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้สูงกว่าไทยถึง 3 เท่า โดยมีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
- "อมตะ" เผยปัจจัยความสำเร็จมาจากระบบบริหารที่เข้มแข็ง มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัด (KPI) ที่วัดผลได้จริงลงไปถึงระดับจังหวัด
- ภาวะผู้นำที่มุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดำเนินการได้รวดเร็วเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุน
- รัฐบาลเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
เวียดนามกลายเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจสำคัญของไทยในอาเซียน ด้วยมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เฉลี่ยปีละกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าไทยถึง 3 เท่า ความสำเร็จนี้เกิดจากระบบบริหารที่มีเป้าหมายชัดเจน มอบอำนาจถึงระดับจังหวัด พร้อมตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ที่วัดผลได้จริง และการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การนำของผู้นำที่เข้าใจเศรษฐกิจและพร้อมผลักดันประเทศเต็มกำลัง
เวียดนามถือเป็นคู่แข่งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยในภูมิภาคอาเซียนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากสถิติในปี 2020-2024 ที่ผ่านมาจะพบว่ามูลค่า FDI ของไทยอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 6,868.62 ล้านดอลลาร์ต่อปี ขณะที่มูลค่าของคู่แข่งอย่างเวียดนามเฉลี่ยปีละ 17,606 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าประเทศไทยกว่า 3 เท่า ขณะเดียวกันเวียดนามยังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูด FDI เข้าสู่ประเทศมากขึ้น
เมื่อเร็วๆนี้ในงาน สัมมนาเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกและการลงทุนจากต่างประเทศในอาเซียน และประเทศไทย (Implication of Changing Global Supply Chain on Foreign Direct Investment in ASEAN and Thailand) จัดโดยคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา ได้เชิญนางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) มาให้มุมมองเรื่องของประเทศเวียดนามที่มีนโยบายและการดำเนินการในหลายเรื่องเพื่อดึงดู FDI เข้าสู่ประเทศ
นางสมหะทัยกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้เวียดนามประสบความสำเร็จในการดึงดูด FDI และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนั้นปัจจัยหลักไม่ได้อยู่เพียงแค่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่มาจากระบบการบริหารจัดการที่เข้มแข็งและประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ฉับไว
โดยเวียดนามมีองค์ประกอบที่เอื้อต่อการเติบโตหลายด้าน ตั้งแต่รากฐานประชากรที่มีจำนวนถึง 100 ล้านคน และมีอายุเฉลี่ยไม่สูง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีพื้นฐานทางด้าน วิทยาศาสตร์ (Science Base) เป็นหลัก มีความขยันขันแข็ง (aggressive) และมีความทะเยอทะยานด้านการศึกษาสูง โดยเฉพาะด้านภาษา เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของประเทศ
อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดคือ ระบบการบริหารและภาวะผู้นำที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ โครงสร้างของคณะกรรมการโปลิตบูโร (Politburo) และองค์ประกอบอื่น ๆ ในโครงสร้างนั้นมีความ เข้มแข็งมาก ผู้นำที่เข้ามารับตำแหน่งทุกคนมีหลักการของการพัฒนาและสร้างการเจริญเติบโต และรู้ว่าประเทศชาติต้องการอะไร โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องของเศรษฐกิจ การเป็นอยู่ของประชาชน และการกำหนดเป้าหมายเรื่อง FDI ในแต่ละพื้นที่
นางสมหะทัย ชี้กล่าวว่า ระบบของเวียดนามมีเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้จริง โดยรัฐบาลจะมีการ ประกาศนโยบายหรือเป้าหมายการเจริญเติบโตของประเทศในทุก ๆ 5 ปี อย่างชัดเจน ว่า GDP ต้องการเติบโตเท่าไหร่ โดยสิ่งที่น่าทึ่งคือ การมอบหมายอำนาจและกำหนดตัวชี้วัดผลงาน (KPIs) ที่ชัดเจน ไปยังระดับจังหวัด โดยเลขาจังหวัดจะได้รับเป้าหมายที่ต้อง ดึง FDI เข้ามาให้ได้กี่พันล้านเดอลลาร์ ในจังหวัดนั้น ๆ และผู้ที่ทำผลงานได้ดีตามเป้าหมายจะได้รับการโปรโมท ซึ่งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดจากผู้นำระดับสูง 2 ท่าน คือ นายกของเวียดนามคนปัจจุบัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ณ ปัจจุบัน ซึ่งขึ้นสู่ตำแหน่งเพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการสร้างความเจริญในระดับท้องถิ่นมาก่อน
นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามมีประสิทธิภาพในการดำเนินการเพื่อสนับสนุน FDI จากต่างชาติ ซึ่งเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความแตกต่างอย่างมาก รัฐบาลเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความฉับไว และการกระจาย (delegate) อำนาจ ให้กับจังหวัดในการทำงาน โดยไม่ต้องมีการไปผ่านในระดับรัฐบาล หรือสภาด้วย
ยกตัวอย่างด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรม โดยระบุว่า หากมีการวางแผนร่วมกัน ถนนเชื่อมต่อจะแล้วเสร็จไม่เกิน 3 ปี ซึ่งรวมถึงการที่รัฐบาลลงทุนและออกแบบการสร้างถนนและทางเชื่อมต่อ (interchange) ให้ทั้งหมดนอกจากนี้ การจัดการเรื่องที่ดินถือเป็นจุดเด่นสำคัญ เนื่องจากในระดับการทำแผน จังหวัดมีอำนาจในการยกเลิกสิ่งที่เป็นอุปสรรค กีดขวางการลงทุน เช่น ถนนสาธารณะ คลองสาธารณะ ที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อให้ที่ดินสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร สิ่งนี้ช่วยให้การบริการ FDI เป็นไปได้อย่างรวดเร็วได้มากขึ้น
นอกจากนี้ในส่วนของการเตรียมความพร้อมในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตในปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามมีการเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจปี 2568 ขยายตัวที่ 8% ทำให้มีการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก
ขณะที่รัฐบาลมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพียง 37% ทำให้เร่งรัดการลงทุนได้มาก โดยใช้งบประมาณจากภาครัฐและขณะนี้มีโครงการที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่ประกาศจะลงทุน ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงจากตอนเหนือถึงตอนใต้ของประเทศ และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะฟื้นแผนกลับขึ้นมาขนาด 4,000 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนดาต้าเซนเตอร์จำนวนมาก
“ต้องบอกว่าระบบเวียดนามเขาดี และ KPI เขาชัดเจน ความรวดเร็วและการมอบอำนาจเหล่านี้เอง ที่ทำให้การ Service FDI ไปได้เร็วขึ้น” นางสมหะทัยกล่าวสรุป
รวมทั้งเวียดนามส่งเสริมนักธุรกิจออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และเป็นการทำงานที่ใกล้ชิดกันระหว่างภาครัฐและเอกชนทำให้ประสบความสำเร็จได้ดี







