'คีรี ขอบคุณ กทม.จ่ายปิดหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว 3.6 หมื่นล้าน เตรียมนำเงินเคลียร์หนี้เดิม-ลงทุนต่อ

ปิดฉากมหากาพย์หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว กทม.เซ็นเช็ค จ่ายหนี้ ให้ BTS ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยค้างจ่าย รวมกว่า 3.6 หมื่นล้าน "คีรี" เผยไม่ได้อยากได้ดอกเบี้ยจากภาษี แต่ที่ผ่านมากระทบธุรกิจ เสียโอกาสในการลงทุนของบริษัท เผยหลังได้ชำระหนี้ DE ลดจาก 1.3 เหลือ 1 เท่าสามารถเดินหน้าลงทุนเพิ่มเตรียมนำเงินที่ได้รับจ่ายหนี้เดิม 1.5 หมื่นล้าน และลงทุนในโครงการอื่นๆ ต่อ
KEY
POINTS
- กทม. ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายให้แก่บีทีเอส เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท
- บีทีเอสเตรียมนำเงินที่ได้รับไปชำระหนี้สินเดิมประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และลงทุนต่ออีก 2 หมื่นล้านบาท
- การชำระหนี้ดังกล่าวช่วยลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบีทีเอสลง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
- นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานบีทีเอส ขอบคุณ กทม. และหวังว่าในอนาคตจะมีการจ่ายค่าจ้างเดินรถตรงตามกำหนดเวลาทุกเดือน
วันนี้ (30 ต.ค.68) นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเรื่องหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า ในวันนี้บริษัทได้รับการชำระหนี้ ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (O&M) ที่ กทม.ค้างชำระบริษัทรวมทั้งสิ้น 36,444 ล้านบาท นี้ ประกอบด้วยเงินต้น 31,482 ล้านบาท และดอกเบี้ย 4,962 ล้านบาท ทั้งนี้ กทม.ได้มีการเจรจาลดดอกเบี้ย และบริษัทมีการลดให้ประมาณ 200 ล้านบาท เนื่องจาก กทม.ตกลงที่จะจ่ายตามกำหนดเส้นตายที่ได้มีการตกลงกันไว้วันที่ 31 ต.ค.2568
โดยการชำระเงินครั้งนี้ถือเป็นสร้างความเชื่อมั่นให้ กับผู้ลงทุน ผู้ถือหุ้นทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยยืนยันความชอบด้วยกฎหมายของสัญญา
“ต้องขอบคุณ กทม.โดยผู้ว่าฯ กทม.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่เข้าใจ และได้ชำระโดยจ่ายเช็คให้กับบีทีเอสเมื่อ 1-2 ชั่วโมงที่ผ่านมา ในส่วนของหนี้ค่าจ้างเดินรถ O&M สายสีเขียวส่วนต่อขยายรวมทั้งดอกเบี้ยค้างจ่าย ซึ่งภายหลังจากที่มีการดำเนินการจ่ายเงินแล้วก็ทำให้สัดส่วน อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE ration) ลดลงจาก 1.3 เท่าเหลือเพียง 1 เท่าทันที ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง”
นายคีรี กล่าวด้วยว่าที่ผ่านมาตลอดที่มีการค้างชำระหนี้ และมีการฟ้องร้องคดีบริษัทไม่ได้มีความต้องการที่จะได้รายได้จากดอกเบี้ยเนื่องจากทราบดีว่าเป็นเงินจากภาษีของประชาชน แต่การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปตามภาระ และความจำเป็นในเชิงธุรกิจที่เกิดขึ้นกับบริษัทจริงๆ โดยหากที่ผ่านมา กทม.มีการจ่ายตามปกติในช่วงที่ผ่านมา ก็จะไม่ต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยในส่วนนี้ แต่ที่ผ่านมานั้นบีทีเอสนั้นยืนยันว่าเราทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และไม่ได้หยุดเดินรถแม้แต่วันเดียว ขณะที่บริษัทต้องเผชิญกับความกดดันในการจ่ายเงินเดือนพนักงาน และต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน
“หวังว่าภาระความกดดันเรื่องการจ่ายค่าจ้างเดินรถล่าช้าแบบนี้คงจะไม่ต้องมีอีก เนื่องจากเข้าใจว่าจากนี้ไปจาก MOU ที่ได้มีการลงนามร่วมกับ กทม. จะจ่ายค่าเดินรถให้บริษัททุกเดือนในวันที่ 20 ของเดือน หลังจากที่บริษัทสรุปยอดให้ กทม.ในทุกๆ วันที่ 3 ของเดือน โดยไม่ควรมีความล่าช้าในการจ่ายค่าจ้างเดินรถอีกต่อไป” นายคีรี ระบุ
นายคีรีกล่าวด้วยว่าสิ่งที่เราภาคภูมิใจคือการทำงานอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลเพราะเราเป็นบริษัทมหาชน ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น และผู้โดยสาร แม้เราจะประสบปัญหาเรื่องหนี้ที่ยังไม่ได้รับการชำระมาหลายปีแต่บีทีเอสก็ไม่เคยมีความคิดที่จะหยุดเดินรถท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ออกมามากมาย
เรารู้ว่าหากเราหยุดเดินรถ ต้องมีผู้โดยสารจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการเดินทาง ขอขอบคุณ สภากรุงเทพมหานคร, กรุงเทพมหานคร และเคที อีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้ปัญหาหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสิ้นสุดลง เราให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการของรถไฟฟ้าบีทีเอสให้ดียิ่งขึ้นต่อไป และหากรัฐบาลต้องการผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 40 บาทต่อวัน บีทีเอสก็พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
สำหรับเงินที่ได้รับจากการชำระหนี้ในครั้งนี้บีทีเอสมีแผนที่จะนำไปใช้ชำระหนี้เดิมที่มาจากการกู้ยืม และการออกบอนด์ก่อนหน้านี้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่อีก 2 หมื่นล้านบาท เตรียมที่จะมีการนำมาใช้จ่ายหมุนเวียน และลงทุนเพิ่มเติม โดยรายละเอียดต้องมีการนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ของบริษัทก่อนจึงจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ MOVE และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินนี้เกิดขึ้นยาวนาน เริ่มตั้งแต่ปี 2560 โดยหนี้ก้อนแรกเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2560 หลังจากเปิดส่วนต่อขยาย 2 ไปสำโรง จุดเริ่มต้นคือ การหยุดจ่ายของ กทม. ที่ได้ยุติการจ่ายค่าจ้างเดินรถตั้งแต่ พฤษภาคม 2562 เป็นต้นมา หลังรัฐบาลขณะนั้นออกคำสั่ง คสช. ให้เจรจาเรื่องการต่อสัมปทาน โดย กทม. เข้าใจว่ารอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการแก้ไขสัญญา หนี้จึงสะสมพอกพูน จนนำมาสู่การฟ้อง
โดยการฟ้องร้องครั้งที่ 1 ในปี 2564) บีทีเอสฟ้องเรียกหนี้ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2564 รวมเงินต้น 10,978 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3,499 ล้านบาท รวม 14,477 ล้านบาท โดยขอให้ กทม. เป็นผู้ร่วมรับชำระหนี้กับบริษัท กรุงเทพธนาคม (KT) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ให้ กทม. และ KT ร่วมกันชำระ โดย กทม.ชำระแล้ว
และการฟ้องครั้งที่ 2 ในปี 2565 เนื่องจากหนี้ยังคงเกิดขึ้นทุกวัน บริษัทจึงฟ้องเพิ่ม โดยมีเงินต้น 10,128 ล้านบาท และดอกเบี้ย 2,708 ล้านบาท ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ กทม. และ KT ร่วมชำระหนี้ ซึ่งในคดีนี้ กทม. ไม่ได้อุทธรณ์ รวมเป็นยอดเงินที่ชำระในวันนี้รวม 36,444 ล้านบาท เป็นการชำระหนี้ก้อนที่ฟ้องครั้งที่ 2 บวกกับหนี้ที่เกิดขึ้นหลังวันฟ้องจนถึงปัจจุบัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







