อย่าขาย 'แร่หายาก' แบบขายลำไย! โจทย์ใหญ่ไทยต้องเตรียมพร้อมคน - อุตสาหกรรม

อย่าขาย 'แร่หายาก' แบบขายลำไย!  โจทย์ใหญ่ไทยต้องเตรียมพร้อมคน - อุตสาหกรรม

ไทยต้องมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแร่หายากผ่านอุตสาหกรรมแปรรูป ไม่ใช่แค่การขุดขายเป็นวัตถุดิบเหมือนการขายผลไม้สดความร่วมมือกับสหรัฐฯ

KEY

POINTS

  • ไทยต้องมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแร่หายากผ่านอุตสาหกรรมแปรรูป ไม่ใช่แค่การขุดขายเป็นวัตถุดิบเหมือนการขายผลไม้สด
  • ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ผ่าน MOU เป็นโอกาสในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมแร่ของไทยให้มีมาตรฐานสากล
  • ความท้าทายสำคัญคือการเตรียมความพร้อมของประเทศ ทั้งการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน และวางมาตรการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด

ประเด็นร้อนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นเรื่องของแร่หายาก (rare earth) ที่รัฐบาลไทยมีการลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) กับรัฐบาลสหรัฐ ในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย ประเด็นที่สังคมจับตา และมีความกังวลมากก็คือไทยเราจะเสียเปรียบสหรัฐในการทำ MOU นี้จนในที่สุดจะต้องยก หรือให้สิทธิ์แหล่งแร่ (หายาก) ในประเทศไทยให้กับสหรัฐในอนาคต นอกจากนั้นยังกังวลปัญหาเรื่องของสิ่งแวดล้อม และการที่ไทยจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ  

ในฝั่งของรัฐบาลมีการชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง รวมทั้งนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ยืนยันชัดว่า MOU ฉบับนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ที่สำคัญจะเปิดโอกาสให้ไทยพัฒนาอุตสาหกรรมแร่ ด้วยเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญที่เป็นมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญของเรื่องแร่หายากนอกจากการสำรวจ และผลิต ยังต้องวางแผนการเพิ่มมูลค่าของแร่กลุ่มนี้ เพื่อให้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นเจ้าของทรัพยากรนั้นได้รับประโยชน์มากที่สุด หากมีการพัฒนาเหมืองแร่หายากในไทยได้สำเร็จในอนาคต

แนะต่อยอดพัฒนาแร่หายาก

ในประเด็นนี้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่าในเรื่องของแร่หายากนั้นประเทศไทยเราไม่ควรที่จะขุดแร่แล้วขายแร่อย่างเดียวแต่ต้องวางแผนพัฒนาต่อยอด โดยใน MOU นี้มีการระบุว่าจะต้องมีการพัฒนา สอนและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ประเทศไทยด้วย  

“คือถ้าเกิดคุณขายแร่แบบขายลำไย คุณก็ขายเป็นลำไย แต่ถ้าคุณขายแบบสารสกัดลำไย ซึ่งมันมีคุณค่าทางยา มูลค่ามันจะสูงขึ้น ต้องถามว่าคุณต้องการแบบไหน เพราะเราไม่ได้ต้องการแค่ขุดแร่ แต่เราต้องการมูลค่าเพิ่มจากแร่”นายปกรณ์ กล่าว

สำหรับการลงทุนเหมืองแร่หายากในไทย หากมีการสำรวจพบในอนาคต หน่วยงานที่รับผิดชอบคือกรมทรัพยากรเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรมต้อง ต้องดำเนินการโดยเปิดประมูลและรัฐบาลจะเลือกจากนักลงทุนที่ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับรัฐบาลทั้งในเรื่องผลตอบแทนและเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งในเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้เข้าใจว่าสังคมให้ความกังวล เพราะมีการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมา แล้วมีการปล่อยมลพิษลงมาในแม่น้ำ ซึ่งประเด็นนี้ ได้มีการหารือกันแล้วเพราะมีการเป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อม ครม.ก็มีการเป็นห่วงเรื่องนี้และได้มีการ ระบุเป็นความเห็นแล้วว่า ในอนาคตหากเรามีการสำรวจพบแล้วว่าเรามีศักยภาพ แล้วใครจะมาลงทุนเรื่องนี้ ขอให้ระมัดระวังเรื่องนี้ให้ดี

MOU ครอบคลุมความร่วมมือหลายด้าน 

สำหรับ MOU ฉบับที่ไทยลงนามกับสหรัฐเรื่องแร่หายากนี้มีข้อกำหนดที่เป็นความร่วมมือ ร่วมกันหลายด้าน ได้แก่

1.การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศระดับสากลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

2.การสร้างกลไกความร่วมมือร่วมกัน เช่น การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาและการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

3.การให้ความสำคัญในแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดี เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การออกใบอนุญาตและการลดขั้นตอน

4.การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ และในเรื่องราคาสินค้า (Rare Earth) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก

และ 5.การประสานงานในการคุ้มครองตลาดโดยอิงกลไกตลาด การปฏิบัติการค้าอย่างเป็นธรรม และการกำหนดมาตรฐานในระดับสูง ซึ่งจะทำให้เกิดกลไกการกำหนดราคาและการทำตามมาตรฐานสากล

นอกจากนี้ตามการเปิดเผยของนายเอกนิติ  รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังระบุว่าการลงนาม MOU ฉบับนี้นำไปสู่การเป็นช่องทางในการหารือกับสหรัฐเพิ่มเติมในการขอลดภาษีตอบโต้ และภาษีสินค้าบางรายการที่อยู่ในเอกสารแนบที่เรียกว่า “appendic ที่ 3” ซึ่งอนุญาตให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีเจรจาต่อรองเพื่อนำสินค้าหรือบริการบางประเภทไปรับ “สิทธิพิเศษ” ได้ โดยสิทธิพิเศษนี้อาจเป็นการยกเว้นจากภาษี 19% ในกรอบใหญ่ หรืออาจเป็นการลดภาษีบางส่วนของสินค้าบางรายการ ซึ่งการเจรจานี้เป็นยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการร่วมกับทีมกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน

โอกาสไทยศูนย์กลางห่วงโซ่ธาตุหายากภูมิภาค

สำหรับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากในประเทศไทย สภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เสนอแนะแนวทางการทำเหมือง แปรรูป หรือถลุงแร่ในอนาคตของประเทศไทยว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านธรณีวิทยาและความเข้มข้นของแร่ในประเทศ รวมถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับธาตุทอเรียม แนวทางที่เหมาะสมและมีศักยภาพสูงสุดสำหรับประเทศไทยคือการมุ่งเน้นการเป็น "ศูนย์กลางห่วงโซ่ธาตุหายากของภูมิภาค (ASEAN Rare Earth Hub)" โดยเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม กลางน้ำและปลายน้ำ ได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปขั้นสูง (Separation/Refining) และการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง (Permanent Magnet) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

ทั้งนี้เงื่อนไขสำคัญที่สุด สำหรับการลงทุนและการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ คือ การที่โครงการใดๆ ที่เกิดขึ้นจะต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของไทยอย่างครบถ้วน (เช่น EIA และ EHIA) ทั้งนี้ MOU ที่ลงนามกับสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงการแสดงเจตจำนงในการส่งเสริมความร่วมมือและ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีอำนาจอธิปไตยในการกำหนดเงื่อนไขการลงทุน

ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(Fields for Knowledge Integration and Innovation) อดีตประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุในบทความเรื่อง “ศึกแร่หายากสหรัฐ-จีน โอกาสใหม่ไทยผู้ผลิตแรร์เอิร์ธ อันดับ6โลก” ตอนหนึ่งว่าสำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมแร่หายากถือเป็นโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเตรียมพร้อมความพร้อมในหลายเรื่องได้แก่  การพัฒนาบุคลากร ต้องเร่งพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมแปรรูปแร่หายาก

การจัดการสิ่งแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแปรรูปแร่หายากต้องได้มาตรฐานสากล และการรักษาสมดุลทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน

ทั้งนี้การแข่งขันแร่หายากในอาเซียนเพิ่งเริ่มต้น และจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ประเทศที่สามารถพัฒนาศักยภาพทางการผลิต การแปรรูป และนวัตกรรมได้เร็วที่สุด จะได้เปรียบในเกมการแข่งขันเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

สำหรับประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตแร่หายากอันดับ6 ของโลกไม่ใช่แค่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นโอกาสในการกำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เพื่ออัพเกรดสู่บทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน(Global Supply Chain)แร่หายากของโลก

ดังนั้นการเตรียมความพร้อมและวางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ชัดเจนรวมทั้งการขับเคลื่อนความร่วมมือกับทั้งจีนและสหรัฐอย่างสมดุลจะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในเกมใหญ่เกมนี้ของเรา