อุตฯ 'เครื่องนุ่งห่ม' ลดกำลังผลิตใน 'กัมพูชา' เหตุ 'ต้นทุนพุ่ง-สิทธิภาษีหด'

อุตฯ 'เครื่องนุ่งห่ม' ลดกำลังผลิตใน 'กัมพูชา' เหตุ 'ต้นทุนพุ่ง-สิทธิภาษีหด'

กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม “ส.อ.ท.” ชี้โรงงานในกัมพูชาเริ่ม “ชะลอการลงทุน–ลดกำลังผลิต” หลังต้นทุนขนส่งพุ่งขึ้น 2-3 เท่าตัว ด้านปัญหาด่านชายแดนติดขัดทำซัพพลายสะดุด บางรายต้องหันสั่งผ้าที่เป็นวัตถุดิบต้นน้ำจากเวียดนามแทน หวังรัฐเร่งดัน FTA ไทย–EU เปิดตลาดใหม่ช่วยฟื้นส่งออก

KEY

POINTS

  • ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มที่ตั้งฐานการผลิตในกัมพูชา (ราว 5-10 ราย) เริ่มปรับลดกำลังการผลิตและยังไม่มีแผนขยายการลงทุนเพิ่ม
  • ต้นทุนการผลิตในกัมพูชาสูงขึ้น 2-3 เท่า จากค่าขนส่งที่ล่าช้าเพราะด่านชายแดนปิด และค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ความได้เปรียบด้านค่าแรงลดลงเหลือเพียง 20% เมื่อเทียบกับไทย
  • กัมพูชาสูญเสียข้อได้เปรียบสำคัญ เนื่องจากสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) ที่เคยได้รับจากสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐฯ ได้หมดลงแล้ว ทำให้ต้นทุนส่งออกไม่ต่างจากประเทศคู่แข่ง
  • หากสถานการณ์ต้นทุนและโลจิสติกส์ไม่ดีขึ้น คาดว่าใน 2-3 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการไทยอาจทยอยถอนฐานการผลิตกลับไทยหรือย้ายไปประเทศอื่น

อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของไทยได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ "กัมพูชา" ภายใต้นโยบาย "Thailand Plus One" เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าและสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ที่กัมพูชาได้รับ ทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น

โดยวัตถุดิบและส่วนประกอบจำนวนมากจะถูกส่งจากโรงงานในประเทศไทยไปยังกัมพูชาเพื่อทำการประกอบหรือแปรรูป ก่อนจะส่งกลับมายังไทยหรือส่งออกไปยังตลาดโลกผ่านศูนย์กลางโลจิสติกส์ในไทย

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการที่ส่งผลให้มีการ ปิดด่านชายแดนทางบก ระหว่าง "ไทย-กัมพูชา" ได้กลายเป็น "วิกฤตการณ์ทางตัน" ครั้งใหญ่ การปิดด่านได้ตัดเส้นทางการขนส่งทางบกที่เป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทานนี้โดยสิ้นเชิง ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนไปใช้ช่องทางทางทะเลแทน

ส่งผลให้ ระยะเวลาในการขนส่งยาวนานขึ้นมาก และที่สำคัญที่สุดคือ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง (มีรายงานว่าค่าขนส่งสูงขึ้นถึง 6 เท่า) ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการบริหารจัดการสต็อกสินค้าของผู้ประกอบการไทยอย่างมีนัยสำคัญ

นายถาวร กนกวลีวงศ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไปตั้งฐานการผลิตในกัมพูชา ซึ่งมีอยู่บริษัทขนาดใหญ่ราว 5-10 ราย โดยส่วนใหญ่เริ่มปรับลดกำลังการผลิต และยังไม่มีแนวโน้มลงทุนขยายเพิ่มเติมในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากความไม่แน่นอนของปัจจัยหลายด้าน ทั้งต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ปัญหาด้านลอจิสติกส์ และข้อได้เปรียบทางภาษีที่ลดลง

“ตอนนี้หลายโรงงานที่กัมพูชา โดยเฉพาะในเขตพนมเปญ เดิมตั้งขึ้นเพื่อเป็นฐานการผลิตที่ 2-3 ของโรงงานในไทย แต่ยังใช้ฐานลูกค้าและวัตถุดิบหลักจากกรุงเทพฯ เมื่อด่านชายแดนยังไม่เปิดเต็มที่ การขนส่งผ้าต้นน้ำจากไทยจึงล่าช้า จากปกติทางรถใช้ 3 วัน ต้องเปลี่ยนมาทางเรือใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ ทำให้ซัพพลายสะดุด หลายรายเริ่มสั่งผ้าจากเวียดนามแทน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณครึ่งหนึ่งของการใช้ผ้าไทย” นายถาวร กล่าว

ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตในกัมพูชาสูงขึ้นกว่าเดิม 2–3 เท่า จากทั้งค่าขนส่งและแรงงาน โดยรัฐบาลกัมพูชามีแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 250 บาทต่อวัน เป็น 300 บาท เพื่อดึงแรงงานกลุบประเทศ ขณะที่ไทยอยู่ที่ราว 400 บาทต่อวัน ทำให้ความได้เปรียบด้านค่าแรงเหลือเพียงประมาณ 20% เท่านั้น แม้แรงงานกัมพูชาหลายส่วนก็ยังเดินทางกลับมาทำงานในไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากรายได้ยังสูงกว่า

นายถาวร กล่าวต่อว่า เดิมข้อได้เปรียบสำคัญของกัมพูชาคือการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) แต่ปัจจุบันสิทธิพิเศษดังกล่าวหมดลงแล้ว โดย EU ยกเลิกสิทธิเมื่อปี 2020 ส่วนสหรัฐฯ ก็ปรับเท่าเทียมกับประเทศอื่น ทำให้ต้นทุนการส่งออกของกัมพูชาไม่ต่างจากไทย เวียดนาม หรืออินโดนีเซียอีกต่อไป

“ถ้าด่านชายแดนยังไม่เปิดเต็มรูปแบบในเร็ววัน ธุรกิจเครื่องนุ่งห่มจากกัมพูชาจะได้รับผลกระทบมากขึ้น เพราะต้นทุนสูงทำให้ลูกค้าสั่งออเดอร์ลดลง โรงงานไทยหลายแห่งอาจทยอยลดกำลังผลิตในกัมพูชา และหันกลับมาผลิตในประเทศแทน” นายถาวร กล่าว

สำหรับภาพรวมการส่งออกเครื่องนุ่งห่มของไทย มีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 80,000 ล้านบาทต่อปี) โดยตลาดหลักคือ สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 35% ซึ่งขณะนี้เริ่มชะลอตัว เนื่องจากผู้ซื้อต่างประเทศหันไปนำเข้าจาก เอเชียใต้ เช่น บังกลาเทศและปากีสถาน ที่มีภาษีต่ำกว่า

นายถาวร เสนอว่า ทางออกสำคัญของไทยคือการเร่งผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) "ไทย–EU" ให้บรรลุโดยเร็ว เช่นเดียวกับที่เวียดนามและอินโดนีเซียทำได้แล้ว รวมถึงเร่งเปิดตลาดใหม่ในญี่ปุ่น เกาหลี และจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ผลิตไทยในอนาคต

“อีก 2–3 ปีข้างหน้า แนวโน้มขยายธุรกิจในกัมพูชาน่าจะต้องลดลงต่อเนื่อง หากสถานการณ์ชายแดนและต้นทุนไม่ดีขึ้น ทำให้มีโอกาสสูงที่ผู้ประกอบการจะทยอยถอนฐานการผลิตกลับไทย หรือย้ายไปประเทศอื่นแทน ดังนั้น จะต้องติดตามสถานการณ์ภายหลังรัฐบาลได้มีการลงนาม MOU ใน 4 ข้อตกลงร่วมกัน” นายถาวร กล่าว