‘UNCTAD’ แนะไทยปรับนโยบายส่งเสริมลงทุน ดึง FDI รอบใหม่แข่งอาเซียน

UNCTAD แนะไทยเปลี่ยนนโยบายดึงการลงทุนให้ทันการลงทุนอนาคต ชี้การลงทุนเทคโนโลยีทำให้เกิดกระจุกตัวสูงไม่กี่ประเทศ ระบุเวียดนาม อินโดฯ มาแรงในอาเซียน จากนโยบายเปิดกว้างการลงทุน “ปรีดียาธร” หนุนไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าใน EEC เพิ่มขึ้นรองรับดาต้าเซนเตอร์ “อมตะ” เชื่อเวียดนามเร่งลงทุนไฟฟ้า ไฮสปีดดึงลงทุนดันจีดีพีแตะ 8%
KEY
POINTS
- UNCTAD ชี้ว่าแม้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยรวมของไทยจะเพิ่มขึ้น แต่การลงทุนในโครงการใหม่ (Greenfield) กลับลดลงอย่างมาก สวนทางกับคู่แข่งในอาเซียนอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย
- UNCTAD แนะให้ไทยปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุน จากการให้สิทธิประโยชน์ในวงกว้าง มาเป็นการใช้สิทธิประโยชน์เชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่เติบโตสูง เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์
- ไทยควรใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีและบริการเพื่อยกระดับประเทศสู่การเป็นฐานการลงทุนสำหรับกิจกรรมมูลค่าเพิ่มสูง เช่น การวิจัยและพัฒนา (R&D) ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกและปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุนโดยรวม
คณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกและการลงทุนจากต่างประเทศในอาเซียน และประเทศไทย (Implication of Changing Global Supply Chain on Foreign Direct Investment in ASEAN and Thailand) เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2568 โดยมีตัวแทนของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและสื่อมวลชนเข้าร่วม 300 คน
นาย Richard Bolwijn Head of Investment Research การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) กล่าวในหัวข้อ “Global and Regional Investment in ASEAN and Thailand” ว่า UNCTAD เพิ่งนำเสนอข้อมูลต่อเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซีย
ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่าภาพรวมในปี 2567 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Global FDI) ทั่วโลกจะชะลอตัวลง 11% และแนวโน้มการลงทุนกำลังเปลี่ยนจากภาคการผลิต (manufacturing) ไปสู่ภาคบริการมากขึ้น โดยภูมิภาคอาเซียนยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดการลงทุน โดยมี FDI ไหลเข้าเพิ่มขึ้นกว่า 8% สวนทางกับภาพรวมการลงทุนของโลกที่ชะลอตัวลง
ส่วนของประเทศไทยในภาพรวมการลงทุนมีเม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มแต่โครงการใหม่ลดลง โดย FDI ไหลเข้าเพิ่มขึ้น 33% จากระดับ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 เป็น 7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2567 นอกจากนี้การไหลเข้าของ FDI ในไทยยัง แซงหน้าส่วนแบ่งที่เป็นค่าเฉลี่ยของโลกที่อยูที่ประมาณ 0.4%
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวลในด้านการลงทุนเพื่อสร้างโครงการใหม่ (Greenfield investment) ในประเทศไทยลดลง โดยมูลค่าการลงทุนในโครงการ Greenfield ลดลงอย่างมากถึง -62% ในปี 2567 ที่ผ่านมา
รวมทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างมูลค่าการลงทุนในภาคการผลิต (Manufacturing) ลดลงจาก 4,372 ล้านดอลลาร์ในปี 2556 เหลือ 2,766 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ขณะที่มูลค่าการลงทุนในภาคบริการและเทคโนโลยี มีมูลค่าสูงกว่าภาคการผลิตในปีเดียวกัน
FDI ทั่วโลกเน้นลงทุนดิจิทัล
นาย Richard Bolwijn กล่าวว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของเม็ดเงิน FDI ทั่วโลกกำลังมุ่งเน้นเศรษฐกิจดิจิทัล โดยประมาณ 30% ของโครงการลงทุนใหม่ทั่วโลกอยู่ในภาคเศรษฐกิจดิจิทัลเกือบทั้งหมด ซึ่งการลงทุนลักษณะนี้มีการกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่ประเทศที่มีความพร้อม
รวมทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยถือว่าประสบความสำเร็จในการดึงดูดโครงการใหม่ในภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเข้ามาได้ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า มี FDI เพิ่มขึ้นกว่า 90% คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ สาขาข้อมูลและการสื่อสาร (Information & Communication) เพิ่มขึ้น 58% คิดเป็นมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 63% คิดเป็นมูลค่า 540 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามแนวโน้มของหลายประเทศที่มีการดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนนั้นมีลักษณะการกระจุกตัวเม็ดเงินในโครงการใหม่ที่เป็นลักษณะ Greenfield นั้นจะวิ่งไปหาประเทศที่มีความพร้อม และมีมาตรการในการดึงดูดการลงทุนนที่น่าจูงใจพอซึ่งในขณะนี้อินโดนิเซีย และเวียดนาม เป็นประเทศที่เริ่มมีการลงทุนเข้าไปเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เตือนไทยปรับนโยบายดึงลงทุน
นอกจากนี้ สิ่งที่ประเทศไทยควรทำเพื่อดึงดูดการลงทุนให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่เป็น Greenfield ที่มีความสำคัญต่อการจ้างงานและการเติบโตในระยะยาว
ทั้งนี้ ประเทศไทยควรดำเนินการปรับเปลี่ยนการส่งเสริมการลงทุนในบางด้าน จากประเทศที่มีสัดส่วนมาตรการที่ให้สิทธิประโยชน์ที่สูง เมื่อเทียบกับมาตรการด้านการเปิดเสรี (Liberalization) หรือการอำนวยความสะดวก (Facilitation) มาเป็นการเน้นหนักไปที่การใช้ สิทธิประโยชน์ (Incentives) อย่างมีกลยุทธ์
รวมทั้งในอนาคตควรมีมาตรการการใช้สิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนในกลุ่มเป้าหมาย ควรใช้เฉพาะเจาะจงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควบคู่กับการใช้มาตรการจูงใจทางการเงินและภาษีอย่างเข้มข้นเพื่อดึงดูดการลงทุนในภาคส่วนที่กำลังเติบโตสูงและสอดคล้องกับแนวโน้มโลก เช่น ดาต้าเซนเตอร์ การสื่อสาร และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นภาคที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
แนะไทยใช้จุดแข็งเทคโนโลยี-บริการ
นอกจากนี้ ไทยต้องใช้ความได้เปรียบที่ภาคเทคโนโลยีและบริการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อประกาศจุดยืนว่าเป็นฐานการลงทุนสำหรับกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการบริการที่ซับซ้อน
ทั้งนี้ จุดยืนใหม่ควรแทนที่การเป็นเพียงฐานการผลิตแบบดั้งเดิมที่สำคัญต้องรักษาความได้เปรียบในการรักษาความสามารถในการแข่งขันผ่านการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน เพิ่มการเปิดเสรี หรือการอำนวยความสะดวก เพื่อรักษาตำแหน่งในฐานะจุดหมายปลายทางสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก
กนอ.ชี้ไทยเสี่ยงตกขบวน FDI
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ปัจจุบันตัวมูลค่า FDI ของไทยลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีก่อน และเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนทั้งเวียดนามและอินโดนีเซียได้ลดลงไปมาก
รวมทั้งเมื่อดูฒุลค่า FDI ในช่วงปี 2020-2024 จะพบว่ามูลค่า FDI ของไทยอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 6,868.62 ล้านดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น ขณะที่มูลค่าของคู่แข่งอย่างเวียดนามเพิ่มเป็นเฉลี่ยนปีละ 17,606 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ส่วนมาเลเซียก็อยู่ที่ปีละ 10,436.84 ล้านดอลลาร์ต่อปี แม้แต่ฟิลิปปินส์สูงกว่าไทยโดยอยู่ที่ปีละประมาณ 7,978.48 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยต้องมีการปรับปรุงในหลายด้านเพื่อให้มูลค่า FDI ปรับเพิ่มขึ้น เพราะหากเราไม่สามารถแก้ไขได้ ความสามารถในการแข่งขันจะลดลง เพราะเราจะตกขบวนการพัฒนาเศรษฐกิจที่มากับการลงทุนจากต่างประเทศ
แนะเพิ่มลงทุนไฟฟ้าสีเขียว EEC
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า FDI มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยมาตั้งแต่ในอดีตที่เริ่มเปิดประเทศรองรับการลงทุน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ประเทศไทยมีโครงการใหม่ที่เป็นอุตสาหกรรมอนาคตที่มาขอส่งเสริมการลงทุนแล้วเป็นจำนวนมาก สิ่งสำคัญคือต้องผลักดันให้มีการลงทุนจริงเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาในอนาคต
รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยังมีความสำคัญในการให้ความมั่นใจให้นักลงทุน โดยโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต้องลงทุนเป็นโครงการสายส่งและโรงไฟฟ้าเพิ่มในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ พลังงานสะอาด EV AI และดาต้าเซนเตอร์ ที่ต้องใช้ปริมาณไฟฟ้ามหาศาล ซึ่งรัฐบาลต้องมองด้วยว่าจะมีการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้ไว้อย่างไร
“อมตะ”ชี้เวียดนามเร่งโครงสร้างพื้นฐาน
นางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศที่น่ากลัวในการดึงดูดการลงทุนที่เป็น FDI แข่งกับประเทศไทย เนื่องจากตอนนี้รัฐบาลมีการเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจปี 2568 ขยายตัวที่ 8% ทำให้มีการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก
ขณะที่รัฐบาลมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพียง 37% ทำให้เร่งรัดการลงทุนได้มาก โดยใช้งบประมาณจากภาครัฐและขณะนี้มีโครงการที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่ประกาศจะลงทุน ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงจากตอนเหนือถึงตอนใต้ของประเทศ และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะฟื้นแผนกลับขึ้นมาขนาด 4,000 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนดาต้าเซนเตอร์จำนวนมาก
รวมทั้งเวียดนามส่งเสริมนักธุรกิจออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และเป็นการทำงานที่ใกล้ชิดกันระหว่างภาครัฐและเอกชนทำให้ประสบความสำเร็จได้ดี
9เดือนขอรับส่งเสริมลงทุน1.3ล้านล้าน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งมีจำนวน 2,622 โครงการ เพิ่มขึ้น 23 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.37 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 94%
ทั้งนี้ สะท้อนว่านักลงทุนให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยทั้งด้านปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ความพร้อมรองรับการลงทุน ศักยภาพการเติบโตในระยะยาว รวมทั้งบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับ FDI ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,947 โครงการ เพิ่มขึ้น 38% เงินลงทุนรวม 985,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 359,805 ล้านบาท , ฮ่องกง 237,264 ล้านบาท, จีน 142,887 ล้านบาท, สหราชอาณาจักร 100,295 ล้านบาท และญี่ปุ่น 73,754 ล้านบาท
นอกจากนี้ เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมากเกิดจากการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์และสหราชอาณาจักร และกิจการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานจากฮ่องกง ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจและการเติบโตของไทยในระยะยาว
“บีโอไอจะเร่งผลักดันโครงการสำคัญให้ลงทุนจริงได้เร็วที่สุดผ่านกลไก Thailand FastPass ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม” นาย นฤตม์ กล่าว







