ปฏิรูปบัตรทอง ปฏิรูป 'บอร์ดสปสช.'

ปฏิรูปบัตรทอง ปฏิรูป 'บอร์ดสปสช.'

การทวงถามเงินค้างจ่ายค่าบริการผู้ป่วยบัตรทองจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งได้จุดชนวนให้โรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุด ต้องออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสปสช. เพื่อกู้วิกฤติที่เผชิญอยู่

โดยมีรายงานว่าในปีงบประมาณ 2567 กองทุนบัตรทองได้ทำให้โรงพยาบาลในสังกัด สธ. มีผลการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ติดลบสูงถึง 18,479 ล้านบาท
    เนื่องจากการบริหารจัดการงบประมาณและการเบิกจ่ายเงินของสปสช.ที่กำหนดอัตราจ่ายต่ำเกินไป ปัจจุบัน สปสช. กำหนดอัตราจ่ายเพียง 8,350 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ (AdjRW) ซึ่งจากการวิจัยเมื่อ 5 ปีที่แล้วพบว่าอัตราดังกล่าวต่ำมาก โดยคิดเป็นเพียง 63 % ของต้นทุนจริงในขณะนั้นที่ 13,240 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ ซึ่งต้นทุนค่ารักษาผู้ป่วยในจริงในช่วงปีงบประมาณ 2564–2566 ได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ในช่วง 15,900 – 16,400 บาทต่อ AdjRW หรือบางแห่งอาจจะสูงถึง 23,000 บาท แต่ สปสช. ยังคงจ่ายในอัตราเดิมที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW ตลอดทั้ง 3 ปี ทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่ายของโรงพยาบาลขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

    รวมทั้งการจัดทำงบประมาณของ สปสช. ที่เป็นแบบวงเงินจำกัดหรือปลายปิด ทำให้เมื่อค่าใช้จ่ายจริงสูงกว่างบประมาณ สถานพยาบาลจะได้รับค่ารักษาลดลงตามสัดส่วนของวงเงินที่เหลืออยู่ ประกอบกับการใช้ระบบแต้ม (Point System) สำหรับบริการผู้ป่วยนอก (OPD) ที่ทำให้ค่าตอบแทนลดลงราว 50 % และปัญหาความล่าช้าในการจ่ายเงินที่กินเวลานาน 2-3 เดือนหลังการรักษา รวมถึงการเรียกเงินคืนย้อนหลังจากการตรวจสอบเวชระเบียน ล้วนส่งผลให้สถานพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน

    ยังไม่รวมการเพิ่มชุดสิทธิประโยชน์ให้ผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้เพิ่มงบประมาณให้สถานพยาบาลอย่างเหมาะสมทั้งหมดนี้ ดำเนินการอยู่ภายใต้ “มติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)” ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ผู้ให้บริการมีความเห็นว่าหากจะมีการ “ปฏิรูป สปสช.” จึงควรเริ่มต้นที่การปฏิรูปคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการเพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจมากขึ้น ให้เป็นอิสระในการพิจารณาชุดสิทธิประโยชน์การปรับโครงสร้างกรรมการและการเพิ่มความโปร่งใส จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ไขปัญหาเชิงระบบที่นำไปสู่การสร้างความมั่นคงของระบบสาธารณสุขไทยได้ในระยะยาว
    เพราะตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีส่วนในการทำให้ “ผู้ป่วย” เข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข เข้าถึงบริการรักษา โดยสามารถลดจำนวนครัวเรือนที่ต้องเผชิญวิกฤติทางการเงินจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ จาก 663,000 ครัวเรือนในปี 2545 เหลือเพียงประมาณ 357,600 ครัวเรือนในปี 2566 และในปีงบประมาณ 2567 นี้ ระบบได้ครอบคลุมสิทธิประชากรเกือบทั้งหมดที่ 99.64% เพราะฉะนั้นการทำให้กองทุนบัตรทองมีความมั่นคงยั่งยืน จะเป็นหลักประกันว่าประชาชนไทยจะเข้าถึงสวัสดิการรักษาพยาบาลได้อย่างถ้วนหน้าและต่อเนื่อง โดยที่สถานบริการมีงบประมาณเพียงพอในการให้บริการ