ดีล 'แร่หายาก' แลกลดภาษีทรัมป์ 'รัฐบาล' ชี้ไทยไม่ผูกพันทางกฎหมาย

รัฐบาลเดินหน้าความร่วมมือ “แร่หายาก” กับสหรัฐ ภายใต้ MOU ไม่ผูกพันกฎหมาย มุ่งพัฒนาห่วงโซ่อุปทานต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมเปิดช่องเจรจาลดภาษี และสิทธิพิเศษการค้า
KEY
POINTS
- รัฐบาลเดินหน้าความร่วมมือ “แร่หายาก” กับสหรัฐ ภายใต้ MOU ไม่ผูกพันกฎหมาย
- มุ่งพัฒนาห่วงโซ่อุปทานต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมเปิดช่องเจรจาลดภาษี และสิทธิพิเศษการค้า
- “กฤษฎีกา” แจงชัดไม่ยกสิทธิเหมืองให้สหรัฐ
- “วีระพงษ์” เตือนต้องเจรจาอย่างรอบคอบ โปร่งใส และรักษาสมดุล “สหรัฐ-จีน” ไม่ให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่างในศึกแร่แห่งอนาคต
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 ต.ค.2568 รับทราบการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งไทย และสหรัฐลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เป็นการลงนาม Memorandum of Understanding ที่เป็นข้อตกลงความเข้าใจร่วมกันไม่ใช่กฎหมาย โดยเป็นความร่วมมือสร้างห่วงโซ่อุปทาน และส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับ แร่หายาก และไม่ใช่สิทธิผูกขาด (exclusive right) สำหรับประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีขอบเขตความร่วมมือไทยกับสหรัฐ ได้แก่
1.การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศระดับสากลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
2.การสร้างกลไกความร่วมมือร่วมกัน เช่น การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนา และการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
3.การให้ความสำคัญในแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดี เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การออกใบอนุญาต และการลดขั้นตอน
4.การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเกี่ยวกับโครงการต่างๆ และในเรื่องราคาสินค้า (Rare Earth) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก
5.การประสานงานในการคุ้มครองตลาดโดยอิงกลไกตลาด การปฏิบัติการค้าอย่างเป็นธรรม และการกำหนดมาตรฐานในระดับสูง ซึ่งจะทำให้เกิดกลไกการกำหนดราคา และการทำตามมาตรฐานสากล
MOU แร่หายากปูทางสิทธิพิเศษลดภาษีเพิ่ม
นายเอกนิติ ตอบคำถามประเด็นการลงนามเชื่อมโยงการเจรจาภาษีกับสหรัฐหรือไม่ว่า MOU เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ดีที่แน่นแฟ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยเจรจาต่อรองในการค้าต่างตอบแทน
ทั้งนี้ สหรัฐเปิดช่องทางในเอกสารแนบที่เรียกว่า “appendic ที่ 3” ซึ่งอนุญาตให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีเจรจาต่อรองเพื่อนำสินค้าหรือบริการบางประเภทไปรับ “สิทธิพิเศษ” ได้ โดยสิทธิพิเศษนี้อาจเป็นการยกเว้นจากภาษี 19% ในกรอบใหญ่ หรืออาจเป็นการลดภาษีบางส่วนของสินค้าบางรายการ ซึ่งการเจรจานี้เป็นยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการร่วมกับทีมกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน
“ผลการเจรจาขณะนี้ค่อนข้างเป็นบวกกับไทยเพราะอาเซียนส่วนใหญ่เผชิญภาษี 19% ส่วนเวียดนาม 20% โดยหากเจรจาสำเร็จจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันผู้ประกอบการไทย และขณะนี้นัดผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เพื่อเจรจาเพิ่ม” นายเอกนิติ กล่าว
“กฤษฎีกา” ชี้นักลงทุนสหรัฐไม่ได้สิทธิพิเศษ
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า ครม.นักพิเศษ วันที่ 23 ต.ค.2568 เห็นชอบร่าง MOU โดยข้อความที่ออกไปตามสื่อตีความข้อความผิดจากความจริงหลายส่วน ซึ่งต้องแปลจากภาษาอังกฤษโดยตรง
“การอ่านเอกสารเช่นนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง และแนะนำให้อ่านฉบับภาษาอังกฤษจะดีกว่า เพราะผมลองกดแปลจากเอไอแล้วมันแปลโดยสรุป ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้มาก”นายปกรณ์ กล่าว
โดยหลักการจะใช้ถ้อยคำในข้อตกลงที่ไม่ข้อผูกพันทางกฎหมาย และไม่เป็นการยกสิทธิการผลิตหรือในเหมืองแร่ให้สหรัฐเหมือนที่เข้าใจผิด เพราะหากพบแหล่งแร่หายากในอนาคต นักลงทุนจากสหรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่เหมือนกับประเทศอื่นๆ
สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยต้องเปิดประมูล และจะเลือกผู้ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุด ซึ่งดูทั้งผลตอบแทนรัฐ และการดูแลสิ่งแวดล้อม
“ประเด็นสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สังคมเป็นห่วง เพราะเหมืองแร่หายากที่มีปัญหาในเมียนมาปล่อยมลพิษลงแม่น้ำกก ซึ่งเรื่องนี้ได้หารือใน ครม.แล้ว และจะให้ความสำคัญหากมีการลงทุนแร่หายากในไทย”
ยันไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
สำหรับประเด็นการตีความคำศัพท์ทางกฎหมายใน MOU นายปกรณ์ อธิบายว่า ความหมายเชิงกฎหมาย และสถานะMOUใช้คำว่า “Participant” (ผู้ภาคี) คือ ผู้ที่ร่วมมือกันเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ทั้งนี้กรอบการตกลงยึดตามองค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO)ในความเท่าเทียมกันโดย MOU ระบุชัดว่าไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 แห่งรัฐธรรมนูญ และไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐที่จะร่วมมือกันพัฒนาแร่สำคัญ (Critical Mineral)รวมถึงRare Earth
สำหรับการดำเนินการตาม MOU ต้องเป็นไปตามกฎหมายของไทยในกรณีเข้ามาลงทุนในไทย และต้องปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐในกรณีไปลงทุนที่สหรัฐ
ส่วนการตีความคำว่า “Participant have first opportunity to invest” โดยการใช้คำว่า “First opportunity to invest” หมายถึงการให้เกียรติกัน และกันในฐานะคู่สัญญา แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศ (domestic law)
“ไทยมีกฎหมายแร่ที่กำหนดต้องเปิดประมูลที่เสรี และเป็นธรรม สอดคล้องหลักWTO นอกจากนั้นไทยกับสหรัฐมี Treaty of Amity สนธิสัญญาไมตรีที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 1976 ซึ่งทำให้คนอเมริกันถูกปฏิบัติเหมือนคนชาติของไทยดังนั้นคนอเมริกันไม่มีแต้มต่ออะไรเรื่องนี้”
นอกจากนี้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจง Good Regulatory Practice (GRP) ที่เป็นแนวปฏิบัติที่เขียนใน MOUโดยเป็นเป้าหมายของไทยในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)ซึ่งเป็นหลักสากลเรื่อง Good Regulatory Practices และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้สหรัฐเป็นการเฉพาะ
“ไทยกำลังดำเนินการเรื่องนี้เข้มข้น เพื่อยกระดับคุณภาพกฎหมาย และเพื่อให้สามารถทำความตกลงทางการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่นได้”
เตือนต้องเจรจาอย่างรอบคอบ-โปร่งใส
นายวีระพงษ์ ประภา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอดีตผู้แทนการค้าไทย ให้สัมภาษณ์รายการ “กรุงเทพธุรกิจ DEEP Talk” โดยกล่าวถึงการลงนาม MOU ว่า สำหรับไทยที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการผลิตแร่หายาก แต่ยังมีความเสี่ยงหากการเจรจาในรายละเอียดขาดความรอบคอบ และโปร่งใส
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า แร่ธาตุสำคัญ (Critical Mineral) และแร่หายากมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แม่เหล็ก อุปกรณ์มือถือ กังหันลม และโซลาร์พาเนล
ทั้งนี้ ไทยเป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับ 6 ของโลก โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้น 260% ในปีที่ผ่านมา เพราะไทยมีอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น EV
รวมทั้งจีนยังเป็นผู้นำตลาดแร่หายาก โดยครองสัดส่วนการผลิต 71% ของกำลังการผลิตโลก ซึ่งไทยเป็นทางเลือกในห่วงโซ่อุปทานท่ามกลางการแข่งขันเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์ระหว่างจีน และสหรัฐ
สำหรับการลงนาม MOU ระหว่างไทย-สหรัฐ มุ่งเน้นความร่วมมือเชิงเทคนิค โดยสหรัฐนำเทคโนโลยี บุคลากร และความเชี่ยวชาญมาถ่ายทอดเพื่อพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไทย และมอบสิทธิให้สหรัฐเป็น “เจ้าแรก” ในการเลือกลงทุน
นายวีระพงษ์ ระบุว่า แรร์เอิร์ธเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ทวีความสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นโอกาสที่ไทยจะขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาค และเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของไทย แต่การเจรจามีความเสี่ยงจึงกังวลการให้สิทธิสหรัฐเป็นรายแรกในการลงทุน ซึ่งเรื่องนี้จะส่ง “ผลดี” หรือ “ผลร้าย” ขึ้นกับการเจรจา
ชี้เจรจาต้องพิจารณา 3 มิติรอบด้าน
นายวีระพงษ์ เน้นย้ำว่า การเจรจารายละเอียดโครงการต่อไป รัฐบาลต้องพิจารณารอบคอบใน 3 มิติที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
1.มิติความโปร่งใส ต้องแข่งขันโปร่งใส และเสรี เพื่อป้องกันการผูกขาดผลประโยชน์โดยกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม
2.มิติเศรษฐกิจ โดยต้องสร้างงาน และรายได้ให้คนไทย โดยไม่ใช่เป็นเพียงฐานผลิตที่ส่งออก และเงินไม่เข้ากระเป๋าคนไทย
3.มิติสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนต้องคำนึงโมเดล ESG เนื่องจากต้องจัดการมลภาวะน้ำ อากาศ และชุมชนอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการป้องกันการใช้แรงงานบังคับ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยรัฐบาลควรนำกรอบกติกา และมาตรฐานสากลมาใช้กำกับดูแล เช่น OECD หรือ EU โดยปรับให้เข้าบริบทไทย และธุรกิจที่ทำผิดต้องถูกลงโทษ ส่วนธุรกิจที่ทำถูกต้องสร้างแรงจูงใจให้พวกเขา
“เรื่องเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่จะต้องพูดคุยกันในการเจรจา และให้ความมั่นใจกับประชาชนไทยว่าประเด็นเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ถูกคำนึงถึงบนโต๊ะเจรจา” นายวีระพงษ์ กล่าว
สมดุลอำนาจระหว่าง “สหรัฐ-จีน”
ในสถานการณ์ที่จีนครองตลาดแร่หายาก 71% ของโลก ทำให้ไทยอาจตกในที่นั่งลำบากที่ต้องสร้างสมดุลอำนาจระหว่างสหรัฐ-จีน นายวีระพงษ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยควรพิจารณาลดพึ่งพิงทั้งสหรัฐ และจีน โดยการเปิดตลาดใหม่กับสหภาพยุโรป (EU)
ส่วน MOU ควรเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันทั้ง 2 ประเทศ และไทยอาจต้องเจรจาคู่ขนานกับจีน โดยฟังความเห็นและข้อเสนอของจีนเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก เพื่อคานอำนาจ 2 ขั้ว
“กรณีมาเลเซีย MOU กับสหรัฐเรื่องแร่หายากเช่นกัน พร้อมทั้งหารือกับจีนในสัปดาห์ก่อนหน้าว่าจะลงทุนอุตสาหกรรมดังกล่าว”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







