'พิพัฒน์' นัดถก รฟท. - EEC สางปมไฮสปีดเทรน CP ต่อขยายถึงตราด

“พิพัฒน์” นัดถก สกพอ.-รฟท.วันที่ 3 พ.ย.นี้ เคาะแนวทางสางปัญหา “ไฮสปีด 3 สนามบิน” ชี้กรอบรัฐบาล 4 เดือน แม้ไม่เริ่มงานก่อสร้างได้ ตั้งเป้าเคลียร์ปัญหาให้มีแนวทางเดินหน้าชัดเจน เปิดออปชั่นเสริม เจรจา CP เดินหน้าไฮสปีดถึงตราด
KEY
POINTS
- "พิพัฒน์" รมว.คมนาคม นัดประชุม 3 พ.ย.นี้ ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงาน EEC เพื่อหาข้อสรุปปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
- เปิดแนวคิดเจรจาเสนอให้เอกชนคู่สัญญา (กลุ่มซีพี) รับดำเนินโครงการส่วนต่อขยายจากอู่ตะเภาไปยังระยอง จันทบุรี และสิ้นสุดที่ตราด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้โครงการเดินหน้าต่อ
- ชี้การเสนอส่วนต่อขยายถึงตราดมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร และสร้างความคุ้มค่าในการลงทุนมากขึ้น แทนการแก้ไขสัญญาเดิมที่อาจขัดต่อกฎหมาย
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทเอเชีย เอรา วัน จำกัด ที่มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ถือหุ้นใหญ่ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562
หลังนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการเยียวยาผลกระทบจากโควิดที่ทำให้ผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลง เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2564 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเจรจาแก้สัญญาดำเนินการมาต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ยังไม่อนุมัติร่างแก้ไขสัญญาดังกล่าว
รวมทั้งเมื่อเข้าสู่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล คัดค้านการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ในประเด็นการปรับรูปแบบการจ่ายเงินให้เอกชนเป็นสร้างไปจ่ายไปตามงวดงาน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากปัญหาการเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนรถไฟความเร็วสูง ขณะนี้ได้นัดประชุมภายในส่วนของภาครัฐวันที่ 3 พ.ย.2568 ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก่อนจะนำแนวทางไปเจรจาเอกชนคู่สัญญา
“ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลนี้ จะพยายามผลักดันในสิ่งที่ผ่านมาแล้วและยังไม่จบ พยายามทำให้ได้ข้อสรุปมากที่สุด จะทำให้มีความเคลื่อนไหว มีข้อสรุปในระดับหนึ่ง”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมานายพิพัฒน์ มีแผนในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยต้องการให้เดินหน้าโครงการให้สอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งมีความเห็นประเด็นการแก้ไขสัญญาร่วมทุนในประเด็นจะมีการปรับรูปแบบการจ่ายเงินสนับสนุนของรัฐ จากเดิมสร้างเสร็จแล้วจ่าย ปรับเป็นจ่ายเป็นงวดงานในลักษณะสร้างไปจ่ายไป
สำหรับแนวทางดังกล่าวนายพิพัฒน์เห็ีว่าขัดกับหลักการของสัญญา โดยหากอัยการมีความเห็นเช่นนี้จึงทำให้กระทรวงคมนาคมจะไม่ดำเนินการแก้ไขสัญญาต่อ เพราะถือเป็นกระทำที่ผิดกฎหมาย
เปิดทางซีพีรับส่วนต่อขยายไฮสปีดเทรน
นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ มีแนวคิดที่จะเจรจาเพื่อหาแรงจูงใจในการลงทุนโครงการนี้เพิ่มขึ้น โดยเจรจากับเอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เพื่อรับดำเนินโครงการช่วงส่วนต่อขยายจากท่าอากาศยานอู่ตะเภาไปยังเมืองระยอง จันทบุรี และสิ้นสุดที่ตราด ซึ่งถือเป็นส่วนต่อขยายที่จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น มีผู้โดยสารมากขึ้น และคุ้มค่าต่อการลงทุน
รวมทั้งในขณะที่กระทรวงคมนาคมมีออปชันเสริมที่จะไปเจรจากับกลุ่มซีพี เพื่อดำเนินการส่วนต่อขยายออกไปถึงจังหวัดตราด ซึ่งจะจูงใจการใช้บริการมากขึ้น และน่าจะจูงใจให้เอกชนดำเนินโครงการนี้ ซึ่งหากเอกชนรับข้อเสนอออปชันเสริมนี้จะเจรจาทำสัญญาใหม่หรือสัญญาต่อเนื่อง แต่ต้องเจรจาผลตอบแทนให้กับรัฐเพิ่มเติมด้วย
ส่วนแนวทางเจรจาออปชันเสริมไม่ได้ทำเพื่อเอื้อเอกชน เพราะรัฐจะยังได้ผลตอบแทนเพิ่มเติม และการสร้างส่วนต่อขยายออกไป เกิดประโยชน์กับประชาชนสร้างโอกาสในการใช้บริการเพิ่มเติม และแนวทางแก้ไขสัญญาอาจกลายเป็นการผิดสัญญา โดยอาจทำให้กิจการร่วมค้า BSR ที่เคยแพ้การประมูลอ้างสิทธิฟ้องร้องได้ โดยยืนยันว่าเรื่องนี้จะต้องได้ข้อสรุปภายใน 4 เดือนของรัฐบาลนี้
สำหรับกิจการร่วมค้า BSR ประกอบด้วย บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) , บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นจำกัด (มหาชน) , บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน)
ลงทุนส่วนต่อขยาย 1 แสนล้านบาท
รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า โครงการส่วนต่อขยายไฮสปีด 3 สนามบิน รฟท.เคยจัดประชุมเพื่อประเมินความสนใจเบื้องต้นของภาคเอกชน (Market Sounding) เมื่อปี 2563 โดยศึกษาขยายเส้นทางไปยังจังหวัดระยอง-จันทบุรี-ตราด ซึ่งรูปแบบการลงทุนจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP)
สำหรับโครงการส่วนต่อขยายไฮสปีดเทรน จังหวัดระยอง-จันทบุรี-ตราด ระยะทางรวม 190 กิโลเมตร ประเมินใช้งบลงทุน 101,728 ล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินค่าเวนคืนที่ดิน 12,999 ล้านบาท, วงเงินงานโยธา 69,148 ล้านบาท, วงเงินงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) 12,088 ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่าระยะทางช่วงดังกล่าวไม่คุ้มค่าการลงทุน เพราะมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 5.39% ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่รัฐกำหนด 12%
รวมทั้งอายุสัมปทานตามกฎหมาย PPP กำหนดให้ไม่เกิน 50 ปี ซึ่งโครงการนี้อาจให้อายุสัมปทานเท่าไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน
ส่วนการพัฒนาพื้นที่รอบสถานี (TOD) เอกชนต้องลงทุนจัดหาพื้นที่เอง เพราะ รฟท.ไม่มีพื้นที่รอบสถานีเพียงพอที่จะให้พัฒนาเชิงพาณิชย์ อีกทั้งโครงการนี้พัฒนาจากแนวเวนคืนที่ดินของประชาชน ดังนั้น รฟท.ไม่สามารถนำไปพัฒนาโครงการอื่นนอกเหนือจากการคมนาคมขนส่ง
แหล่งข่าว กล่าวว่า รฟท.เคยศึกษาคาดการณ์ว่าปีแรกที่เปิดให้บริการจะมีผู้โดยสารวันละ 7,429 คน หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2581 เป็นในวันละ 10,896 คน ปี 2591 เพิ่มเป็น 15,251 คน และปี 2601 เพิ่มขึ้นเป็น 19,575 คน ตามลำดับ







