'การบินไทย' ย้ำจำเป็นจัดหาเครื่องบิน ดันเป้าหมาย Aviation Hub

“การบินไทย” ชี้ 4 เสาหลัก ดันไทยสู่เป้าหมาย Aviation Hub เทียบชั้นดูไบ - สิงคโปร์ ย้ำปัจจัยความสำเร็จต้องมีสายการบิน Home Base พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Network Strategy ยันมีความจำเป็นเร่งจัดหาเครื่องบินเสริมทัพ
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในงาน “Skyconomy: Thailand’s Runways to Aviation Hub” ในหัวข้อ Co-Pilot on Standby: เครื่องยนต์เพิ่งติดไปเพียง 1 ใน 4 โดยระบุว่า การก้าวเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) จะต้องผลักดันให้ได้เหมือนตัวอย่างความสำเร็จของการสร้างฮับชั้นนำของโลก เช่น ดูไบ มีสายการบิน Emirates, สิงคโปร์ มีสายการบิน Singapore Airlines และแฟรงก์เฟิร์ต มีสายการบิน Lufthansa
อย่างไรก็ดี การบินไทยมีกลยุทธ์สร้าง Aviation Hub มีความจำเป็นที่ประเทศต้องมีสายการบินเป็น Home Base เพื่อสร้างฮับ และต้องเดินหน้าไปพร้อมกันใน 4 เสาหลัก ได้แก่ การบินไทย, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
ขณะที่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโอกาสสูงในการเป็น Aviation Hub เนื่องจากมีฐานตลาดที่แข็งแกร่ง ทั้งประชากรและสถานะการเป็นจุดหมายปลายทาง โดยผู้โดยสารประเภทมาต่อเครื่อง (connecting passenger) ของการบินไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 6% ก่อนเกิดโควิด-19 เป็น 22% ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้
นายชาย กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันการบินไทยมีเครื่องบินรวม 77 ลำ ลดลงจาก 103 ลำจากปี 2562 ช่วงก่อนเกิดโควิด โดยมีแผนระยะยาวที่จะเพิ่มฝูงบินเป็น 150 ลำ ภายในปี 2576 แม้จะดูเป็นการเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ 5% ต่อปี การเติบโตของการบินไทยจึงเฉลี่ยเพียง 2% กว่าเท่านั้น
“ความท้าทายในการจัดหาเครื่องบิน แผนธุรกิจที่ยื่นต่อเจ้าหนี้กำหนดให้ต้องมีเครื่องบิน 103 ลำ ภายในปี 2576 ซึ่งปัจจุบันยังขาดอยู่มาก การจัดหาเครื่องบินใหม่เป็นเรื่องยาก เนื่องจากผู้ผลิตติด Backlog ถึง 5,000 ลำ ส่วนตลาดเครื่องบินมือสองก็หาได้ยากมาก การขาดแคลน capacity นี้ทำให้บริษัทฯ กำลังสูญเสียโอกาสทางธุรกิจในช่วง 8 ปี ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย 150 ลำ”
อย่างไรก็ดี การเช่าเครื่องบินจึงเป็นทางออกที่จำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะสั้น และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ มิฉะนั้นจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไป โดยการบินไทยยืนยันว่าในช่วงระยะสั้นนี้จำเป็นต้องหาเครื่องบินลำตัวกว้าง (White Body) มาเติมเต็ม เพื่อสร้างความสมดุลของแบบเครื่องบิน
เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้ถึงสิ้นปีหน้า การบินไทยจะมีการรับมอบเครื่องบินลำตัวแคบ (Narrow Body) เข้ามาประมาณ 17 ลำ เพื่อใช้บินในเส้นทางภูมิภาค (regional root) ดังนั้นเพื่อสร้างสมดุลของแบบเครื่องบิน และสนับสนุนกลยุทธ์ Network Strategy ขายตั๋วแบบเชื่อมต่อเส้นทางบิน การบินไทยต้องเร่งจัดหาเครื่องบินมาเสริม ซึ่งในตัวเลือกมี A330-200 และ B787-8 โดยยืนยันว่าเครื่องบินรุ่น A330-200 สามารถบินได้ระยะไกลเท่ากับ B787 ไม่ใช่บินสั้นแค่ 7 ชั่วโมงตามที่เข้าใจผิดกัน และเครื่อง A330-200 มี 3 ชั้นโดยสารทั้ง Business Class, Premium Economy และ Economy







