‘ปกรณ์’ ไขปม MOU ‘แร่หายาก’ ยันไม่เอื้อสหรัฐ ต้องยึดตามกฎหมายเหมืองแร่ไทย

‘ปกรณ์’ ไขปม MOU ‘แร่หายาก’ ยันไม่เอื้อสหรัฐ  ต้องยึดตามกฎหมายเหมืองแร่ไทย

เลขาฯ กฤษฎีกาไขปมแร่หายากไทยลงนาม MOU ยันไม่ใช่ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีผลผูกพัน ระบุหากอนาคตมีการพบแร่หายากในไทย สหรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่ของไทย

KEY

POINTS

  • เลขาฯ กฤษฎีกาไขข้อข้องใจ MOU แร่หายากไทย-สหรัฐ เป็นเพียงกรอบความร่วมมือ ไม่ใช่สัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และไม่ได้เป็นการยกสิทธิการผลิตหรือเหมืองแร่ให้สหรัฐ
  • นักลงทุนจากสหรัฐ หากต้องการลงทุนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเหมืองแร่ของไทย และผ่านกระบวนการเปิดประมูลเหมือนนักลงทุนชาติอื่น
  • ข้อความ "First opportunity to invest" เป็นเพียงการให้เกียรติซึ่งกัน และกัน แต่การดำเนินการจริงต้องเป็นไปตามกฎหมายไทยที่กำหนดให้มีการประมูลอย่างเสรี และเป็นธรรม

นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวชี้แจงในรายละเอียดว่าเอ็มโอยูฉบับนี้ที่ประชุม ครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ต.ค.68 และมีการรับทราบมติ ครม.ว่าด้วยบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เกี่ยวกับแร่หายากซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "MOU concerning Cooperation to diversify global Mineral supply chain and promote investment" ระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่ผ่านมานั้นข้อความที่ออกไปตามสื่อมีการตีความข้อความผิดจากความจริงไปหลายส่วนซึ่งต้องแปลจากภาษาอังกฤษโดยตรง

“การอ่านเอกสารเช่นนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง และแนะนำให้อ่านตัวภาษาอังกฤษจะดีกว่า เพราะผมลองกดแปลจากเอไอแล้วมันแปลโดยสรุป ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้มาก” นายปกรณ์ กล่าว

โดยหลักการแล้วถ้อยคำที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีการใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย และไม่ได้เป็นการจะยกสิทธิในการผลิต หรือในเหมืองแร่ให้กับสหรัฐเหมือนที่มีการเข้าใจผิด เพราะหากมีการพบแหล่งแร่หายากในอนาคต นักลงทุนจากสหรัฐก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่เหมือนกับประเทศอื่น       

โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมทรัพยากรเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรมต้อง เปิดประมูล และรัฐบาลจะเลือกจากนักลงทุนที่ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับรัฐบาลทั้งในเรื่องผลตอบแทน และเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งในเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่สังคมเป็นห่วงเพราะมีประเด็นเรื่องเหมืองแร่หายากที่มีปัญหาในเมียนมา และปล่อยมลพิษลงในแม่น้ำกกซึ่งเรื่องนี้ได้มีการหารือกันในการประชุม ครม.แล้วและไทยเราจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หากมีการลงทุนแร่หายากในไทย

‘ปกรณ์’ ไขปม MOU ‘แร่หายาก’ ยันไม่เอื้อสหรัฐ  ต้องยึดตามกฎหมายเหมืองแร่ไทย

สำหรับประเด็นความแตกต่างระหว่างประเทศ และการตีความคำศัพท์ทางกฎหมายในเอ็มโอยูฉบับนี้นายปกรณ์อธิบายว่า ความหมายเชิงกฎหมาย และสถานะของเอ็มโอยูใช้คำว่า "participant"  (ผู้ภาคี) คือ ผู้ที่มีความร่วมมือกันในการดำเนินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กรอบในการตกลงยึดตามหลักการทำธุรกิจขององค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO) คือ ความเท่าเทียมกันเอ็มโอยูนี้เขียนไว้ชัดเจนว่าไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 และไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่จะร่วมมือกันพัฒนาแร่สำคัญ (critical Mineral) ซึ่งรวมถึง “Rare Earth” ด้วย

สำหรับการดำเนินการใดๆ ตามเอ็มโอยูนี้ จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของไทย ในกรณีที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และต้องปฏิบัติตามกฎหมายของเขาเช่นกันหากเราไปลงทุนที่สหรัฐอเมริกา

ส่วนการตีความคำว่า “participant have first opportunity to invest” โดยการใช้คำว่า "First opportunity to invest" หมายความว่าเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นคู่สัญญา แต่ในการดำเนินการนั้น จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศ (domestic law)

“สำหรับประเทศไทย กฎหมายแร่ของเรากำหนดไว้ว่า จะต้องมีการเปิดประมูลโดยวิธีการที่เสรี และเป็นธรรม สอดคล้องกับหลักของ WTO นอกจากนั้นไทยกับสหรัฐอเมริกา มี Treaty of Amity สนธิสัญญาไมตรี ที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 1976 แล้วซึ่งทำให้คนอเมริกันถูกปฏิบัติเหมือนคนชาติของเราเอง ดังนั้นคนอเมริกันไม่ได้มีแต้มต่ออะไรในเรื่องนี้”

สำหรับแนวทางปฏิบัตินั้นเลขาฯ กฤษฎีกาชี้แจงเรื่อง Good Regulatory Practice (GRP) ที่เป็นเรื่องแนวปฏิบัติ (practice) ที่มีการเขียนไว้ใน MOU นั้น จริงๆ แล้วเป็นเป้าหมายของประเทศไทยในการเข้าสู่  องค์การเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD )อยู่แล้ว โดยสิ่งนี้เป็นหลักสากลเรื่อง Good Regulatory Practices และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐอเมริกาเป็นการเฉพาะ

“ประเทศไทยกำลังดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มข้น เพื่อยกระดับคุณภาพกฎหมาย และเพื่อให้สามารถทำความตกลงทางการค้า และการลงทุนกับประเทศอื่นได้”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์