‘วีระพงษ์’ ชี้ไทยพลิกโอกาสทอง MOU แร่หายาก ลุยอุตสาหกรรมอนาคต

‘วีระพงษ์’ ชี้โอกาสทอง mou ส่งสัญญาณ ไทยเดินหน้าเป็นผู้นำแรร์เอิร์ธ ย้ำรัฐต้องชั่งน้ำหนัก 3 มิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม และความโปร่งใส พร้อมทั้งสร้างสมดุลอำนาจระหว่างสหรัฐ-จีน เปิดเจรจาคู่ขนาน แข่งขันอย่างยุติธรรม เร่งรัฐบาลปิดดีลเจรจาภาษีสหรัฐในจังหวะที่ไทยยังมีอำนาจต่อรอง
การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เกี่ยวกับความร่วมมือด้าน แร่หายาก แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้ความสนใจและตั้งคำถามในหลายมิติ
นายวีระพงษ์ ประภา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอดีตผู้แทนการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรุงเทพธุรกิจ DEEP Talk” โดยกล่าวถึงโอกาสของการลงนามข้อตกลงดังกล่าวสำหรับประเทศไทยที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการผลิตแร่หายาก แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงหากการเจรจาในรายละเอียดขาดความรอบคอบและโปร่งใส
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า แร่ธาตุสำคัญ (Critical Mineral) และแร่หายากเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานโลกในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แม่เหล็ก อุปกรณ์มือถือ กังหันลม และโซลาร์พาเนล
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตแร่หายากติดอันดับ 6 ของโลก โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 260% ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากไทยมีอุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการย้ายฐานมาผลิตในไทย
อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเป็นผู้นำตลาด โดยครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากทั่วโลกประมาณ 71% ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงกลายเป็นทางเลือกหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานท่ามกลางการแข่งขันเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐ
ทั้งนี้ การลงนาม MOU ที่เกิดขึ้นระหว่าง ไทย-สหรัฐ มุ่งเน้นความร่วมมือเชิงเทคนิค โดยสหรัฐจะนำเทคโนโลยี บุคลากร และความเชี่ยวชาญเข้ามาถ่ายทอดเพื่อพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไทย และมอบสิทธิให้สหรัฐอเมริกาเป็น "เจ้าแรก" ในการเลือกที่จะลงทุนในโครงการต่างๆ อย่างไรก็ตาม MOU นี้ ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย แต่เป็นเพียงการ "ส่งสัญญาณ" ว่าประเทศไทยยินดีที่จะมีความร่วมมือกับสหรัฐ
นายวีระพงษ์ ระบุว่า อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเป็น อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่นับวันจะยิ่งมีทวีความสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาคได้ และเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้าย่อมมีความเสี่ยง โดยสิ่งที่น่ากังวลคือ การที่ MOU นี้มีประเด็นเรื่องความร่วมมือต่างๆ และจะให้สิทธิ์สหรัฐเป็นรายแรกในการลงทุน ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ได้มีรายละเอียดในเชิงโครงการ ดังนั้นเรื่องนี้จะส่ง "ผลดี" หรือ "ผลร้าย" ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจา
ชี้เจรจาต้องพิจารณา 3 มิติรอบด้าน
นายวีระพงษ์ เน้นย้ำว่า ในการเจรจารายละเอียดโครงการต่อไป รัฐบาลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบใน 3 มิติที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
1. มิติความโปร่งใส (Transparency) ต้องมีการแข่งขันที่โปร่งใสและเสรี เพื่อป้องกันการผูกขาดผลประโยชน์โดยกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม โดยประชาชนและสังคมไทย จะต้องมั่นใจว่าอุตสาหกรรมใหม่นี้จะหารายได้ให้กับคนไทย รวมถึงจะมีการแข่งขันที่โปร่งใส เปิดกว้างและเสรี
2. มิติเศรษฐกิจ (Economic Benefit) อุตสาหกรรมนี้ต้องสร้างงานและรายได้ให้กับคนไทย โดยไม่ใช่เป็นเพียงฐานผลิตที่ส่งออกผลประโยชน์และรายได้ทั้งหมดไปต่างประเทศ โดยเม็ดเงินไม่ได้เข้ากระเป๋าคนไทย
"ทีมเจรจาจะใช้แต้มต่ออย่างไรในการคุยกับสหรัฐว่า ฝ่ายคุณจะมีข้อเสนออะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโอนถ่ายเทคโนโลยีก็ดี โอนถ่ายบุคคลากร เพื่อให้ไทยมีเทคโนโลยีของตัวเอง และทำให้ไทยสามารถก้าวเป็นผู้นำอุตสาหกรรมนี้ได้"
3. มิติสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ที่จะต้องคำนึงถึงภายใต้โมเดล ESG เนื่องจากอุตสาหกรรมแร่หายากจะต้องมีการขุดเจาะและการขนถ่าย ซึ่งจะต้องจัดการกับมลภาวะที่เกิดขึ้นกับน้ำ อากาศ และชุมชนอย่างเคร่งครัด รวมถึงการป้องกันการใช้แรงงานบังคับและการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยรัฐบาลควรนำกรอบกติกาและมาตรฐานสากลมาใช้ เช่น OECD หรือกฎเกณฑ์ของ EU มาใช้ในการกำกับดูแล โดยปรับให้เข้ากับบริบทไทย โดยธุรกิจที่ทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ ส่วนธุรกิจที่ทำถูกต้องจะต้องสร้างแรงจูงใจให้พวกเขา
"เรื่องเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่จะต้องพูดคุยกันในการเจรจา และให้ความมั่นใจกับประชาชนไทยว่าประเด็นเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ถูกคำนึงถึงบนโต๊ะเจรจา" นายวีระพงษ์ กล่าว
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบทบาทของไทยมักจะเน้นรับฟังและเน้นทำในสิ่งที่หลายประเทศมหาอำนาจต้องการ หรือเป็นเด็กดีแห่งอาเซียน แต่ในขณะที่สมรภูมิการค้าโลกเปลี่ยนไป รัฐบาลไทยต้องกลับมาตั้งคำถามว่าไทยเราจะกลายเป็นผู้เป็นผู้ร่วมสร้าง ร่วมเขียนกติกาได้ อย่างไรบ้าง
“MOU หรือ FTA เป็นเพียงเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารว่าประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำและสร้างกติกาใหม่ในด้านต่างๆ ได้ หากไทยสามารถคว้าโอกาสในอุตสาหกรรมแร่หายากได้ จะทำให้ไทยสามารถก้าวเป็นผู้นำในภูมิภาคและสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ได้”
สมดุลอำนาจ สหรัฐ-จีน
ในสถานการณ์ที่จีนครองตลาดแร่หายากอยู่ถึง 71% ของโลก ทำให้ไทยอาจตกอยู่ในที่นั่งลำบากที่ต้องพยายามสร้างสมดุลอำนาจระหว่างสหรัฐ-จีน นายวีระพงษ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยควรพิจารณาที่จะลดการพึ่งพิงทั้งสหรัฐและจีน โดยการเปิดตลาดใหม่กับสหภาพยุโรป
ส่วนเรื่องของ MOU ควรเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันระหว่างทั้งสองประเทศแบบเป็นรายโปรเจกต์ไป ผ่านการแข่งขันที่โปร่งใส โดยไทยจะต้องชัดเจนถึงเป้าหมายในการ MOU กับสหรัฐ ไม่ให้ไทยสูญเสียผลประโยชน์ของประเทศ
ขณะเดียวกัน ไทยอาจต้องมีการเจรจาคู่ขนานกับจีน และเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอของจีนเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากนี้อย่างไร เพื่อให้เกิดการคานอำนาจกันระหว่าง 2 ขั้ว ซึ่งถือเป็นการค้าที่เสรี แร่ธาตุของไทยไม่ควรเป็นของคนใดคนหนึ่ง แต่ผลประโยชน์นั้นจะต้องอยู่กับประชาชนในประเทศ
อย่างกรณีของประเทศมาเลเซียมีการ MOU กับสหรัฐในเรื่องแร่หายากเช่นกัน พร้อมทั้งมีการหารือกับจีนในสัปดาห์ก่อนหน้าว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าว
เร่งปิดดีลภาษีสหรัฐ
นายวีระพงษ์ กล่าวต่อว่า ทีมเจรจาของไทยควรเร่งปิดดีลการเจรจาภาษี Reciprocal Tariffs กับสหรัฐให้เร็วที่สุดในขณะที่ยังมีแต้มต่อหรือได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้ว เมื่อไทยได้ลงนามในข้อตกลงเรื่องแร่หายากไปแล้ว ซึ่งอาจถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองหรือกดดันไทยในการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐที่ยังไม่จบสิ้นในเนื้อหา
"หากมีความเสี่ยงที่ว่าหากโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายากในอนาคตไม่เป็นไปตามความต้องการของสหรัฐ อาจใช้เหตุผลนี้มากดดันภาษีเราเพิ่มเติม"
การเจรจาภาษีกับสหรัฐมี 3 ประเด็นสำคัญที่ไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1. การเปิดตลาดและภาษีสินค้า ซึ่งไทยจะต้องเปิดตลาดให้สินค้าของสหรัฐสามารถเข้ามาแข่งขันในไทยได้ โดยการลดภาษีไปเลยเป็นอัตรา 0% สำหรับสิน้ค้ากว่า 99% รวมถึงการจัดการกับอุปสรรคทางการค้าที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) รายงานทุกปี
2. สินค้าเกษตร ทรัพย์สินทางปัญญา และถิ่นกำเนิดสินค้า ประเด็นที่สหรัฐให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ สินค้าเกษตรกรรม สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ยังรวมถึงเรื่องของกฎถิ่นกำเนิด (Rules of Origin) หรือ Regional Value Content ซึ่งไทยต้องวิเคราะห์และเจรจาเพื่อให้กฎกติกาเป็นประโยชน์สูงสุด
3. การเปิดเสรีภาคบริการ ประเด็นสำคัญคือการเปิดเสรีภาคบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรม โทรคมนาคม ซึ่งในอดีตภาคบริการของไทยยังค่อนข้างปิดอยู่ การตัดสินใจในเรื่องการเปิดเสรีนี้จะต้องใช้การตัดสินใจทางการเมือง







