‘ถอดรหัส’ ไอเอ็มเอฟมองเศรษฐกิจโลก

กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับเดือน ต.ค.2025 เตือนว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนที่มาก โดยเฉพาะด้านนโยบายและกฎระเบียบที่ไม่นิ่งส่งผลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจ
มองว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอจากขยายตัว 3.3% ปีที่แล้วเหลือ 3.2% ปีนี้และ 3.1% ปีหน้า ชะลอทั้งในประเทศอุตสาหกรรมและตลาดเกิดใหม่ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงทั่วหน้า ยกเว้นสหรัฐที่เงินเฟ้อจะยังสูงกว่าเป้า
ในสายตาตลาดการเงินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดังกล่าว เป็นภาพบนผิวน้ำที่ค่อนข้างบวกแต่ซ่อนความท้าทายไว้มากที่ต้องอ่านระหว่างบรรทัด วันนี้จึงจะถอดรหัสเรื่องนี้และนี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ในสายตาไอเอ็มเอฟเศรษฐกิจโลกขณะนี้อยู่ในภาวะแวดล้อมของการกีดกันทางการค้า ความไม่แน่นอนของนโยบายและความแตกแยกทางเศรษฐกิจที่โยงกับภูมิรัฐศาสตร์ เฉพาะปีนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นผลโดยตรงจากนโยบายเศรษฐกิจของประเทศหลักที่ได้เปลี่ยนไป และความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่ในนโยบายเหล่านี้ที่กระทบการตัดสินใจของธุรกิจ
นโยบายที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกมากสุดปีนี้คือ การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐที่กระทบทุกประเทศทั่วโลก และถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
ขณะเดียวกันข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนก็ยังไม่มีข้อยุติ ทำให้จีนเร่งส่งสินค้าไปขายประเทศในยุโรปและเอเชียแทน กระทบการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้รวมถึงไทย
อีกปัจจัยที่มาจากการเปลี่ยนนโยบายทั้งในสหรัฐและยุโรปคือ การลดจำนวนและส่งกลับผู้อพยพที่กระทบอุปทานแรงงานและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นสังคมสูงวัยและขาดแรงงานที่มีทักษะ สำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่ การตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐก็ส่งผลกระทบต่อประเทศผู้รับ จึงชัดเจนว่าปีนี้ที่เศรษฐกิจโลกชะลอส่วนใหญ่เป็นผลโดยตรงจากนโยบาย
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ ไอเอ็มเอฟมองว่าปีนี้จะขยายตัว 2% ชะลอลงจากปีก่อน โดยในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเข้มแข็ง เพราะการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนปรับอัตราภาษีนำเข้าได้ช่วยชะลอแรงกดดันขาขึ้นของเงินเฟ้อ ทำให้การบริโภคและการลงทุนขยายตัว
การบริโภคได้ประโยชน์จากตลาดหุ้นที่บูม ขณะที่การลงทุนด้านเอไอขยายตัวมาก โดยเฉพาะดาต้าเซนเตอร์หรือศูนย์ข้อมูล รัฐบาลสหรัฐก็เร่งการใช้จ่าย
แต่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอครึ่งปีหลัง เมื่อสต๊อกสินค้าคงคลังที่เร่งนำเข้าก่อนหน้าเริ่มแผ่ว แรงกดดันเงินเฟ้อจึงมีมากขึ้น ขณะที่อัตราการว่างงานปรับสูงขึ้น ทำให้เฟดเลือกลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.เพื่อพยุงเศรษฐกิจ แม้อัตราเงินเฟ้อยังไม่โน้มลงชัดเจน
ไอเอ็มเอฟมองว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐปีนี้และปีหน้าจะยังสูงกว่าเป้า 2% อยู่ที่ 2.7% และ 2.4% สำหรับเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรม ไอเอ็มเอฟมองว่าการขยายตัวจะชะลอเหลือ 1.5% ปีนี้และปีหน้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ประมาณ 2% ยกเว้นสหรัฐ
เศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ก็จะขยายตัวในอัตราที่ลดลงเช่นกัน เหลือประมาณ 4% โดยในเอเชียการขยายตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่จะชะลอเหลือ 5.2% ปีนี้และ 4.1% ปีหน้า ขณะที่เงินเฟ้อลดลงเหลือ 1.3% ปีนี้และ 2.1% ปีหน้าส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 2% และชะลอเหลือ 1.6% ปีหน้า
เห็นได้ว่า เศรษฐกิจทั่วโลกขณะนี้กำลังชะลอและคงชะลอต่อเนื่องในปีหน้า ส่วนหนึ่งเพราะภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ได้เปลี่ยนไปจาก “การค้าเสรี” ไปสู่ “การกีดกันทางการค้า” และจาก “โลกาภิวัตน์” ไปสู่ “ความแตกแยกทางเศรษฐกิจ” อีกส่วนมาจากนโยบายใหม่ที่เริ่มส่งผลปีนี้ทั้งโดยรัฐบาลสหรัฐและยุโรป
เช่น ภาษีการค้าและความเข้มงวดเรื่องผู้อพยพ การชะลอตัวทำให้หลายประเทศเร่งผ่อนคลายนโยบาย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยรัฐบาลเร่งใช้จ่ายและธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งอาจสร้างปัญหาอื่นตามมา
ในแง่ความเสี่ยง ไอเอ็มเอฟมองความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกเป็นด้านลบ ซึ่งนอกจากความไม่แน่นอนด้านนโยบาย เช่น การกีดกันทางการค้าที่อาจมีมากขึ้น ประเด็นที่ควรระวังมีสามเรื่อง
1.ทิศทางเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐ ประเด็นนี้ไอเอ็มเอฟไม่ได้พูดชัดเจนแต่ถอดรหัสได้ว่าเป็นความห่วงใย เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐอาจยังเป็นขาขึ้นอีกระยะหนึ่งจากการส่งผ่านภาษีที่สูงขึ้นต่อผู้บริโภค ขณะที่ประเทศอื่นแรงกดดันเป็นขาลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
เงินเฟ้อที่เป็นขาขึ้นจะเป็นข้อจำกัดต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้การลดดอกเบี้ยอาจล่าช้ากว่าที่ตลาดคาด ซึ่งจะซ้ำเติมการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน การลดดอกเบี้ยที่เร็วเกินไปก็อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงยากและเศรษฐกิจเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation ที่เศรษฐกิจชะลอพร้อมอัตราเงินเฟ้อที่สูง เป็นปัญหาที่แก้ยากและอาจเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย
2.ปัญหาหนี้สาธารณะ การชะลอตัวของเศรษฐกิจทำให้หลายประเทศเร่งใช้จ่ายทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น หนี้สาธารณะที่สูงเกินจะสร้างความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติการคลัง ถ้ารัฐบาลมีปัญหาในการชำระหนี้ โดยเฉพาะประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูง เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี
ความเชื่อมั่นในความสามารถของภาครัฐที่จะชำระหนี้ สะท้อนให้เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายเพื่อกู้เงินใหม่ว่าเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ และเงื่อนไขในการต่ออายุหนี้ของรัฐบาลว่าเข้มงวดขึ้นหรือไม่
ปัจจุบันแรงกดดันเหล่านี้เริ่มมีให้เห็น โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และนักลงทุนเริ่มลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สกุลเงินดอลลาร์แทน ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า นี่คือ ประเด็นที่ต้องจับตาเพราะความเสี่ยงที่จะมีต่อการเกิดวิกฤติการคลังและปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
3.ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีเอไอที่ขณะนี้บูมมาก ว่าจะปรับฐานอย่างไรและการปรับฐานจะกระทบตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในวงกว้างหรือไม่ คล้ายกับช่วงปี 1995-2000 ที่เกิดภาวะฟองสบู่จากการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ต
แต่คราวนี้คือเอไอ การปรับฐานคงเกิดขึ้นตามกลไกตลาด ที่หวังคือการปรับตัวของราคาจะเป็นระเบียบ อยู่ในวงที่จำกัดและไม่ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก
ทั้งสามเรื่องคือความท้าทายที่ซ่อนอยู่ในเศรษฐกิจโลกที่ขณะนี้กำลังชะลอ เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม







