ผ่าแผน 'อรรถพล' ดันโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ลดค่าไฟ 40–80 สตางค์

ผ่าแผน 'อรรถพล' ดันโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ลดค่าไฟ 40–80 สตางค์ ทุ่ม 3.3 หมื่นล้านหนุนระบบไฟฟ้า–ดาต้าเซ็นเตอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
KEY
POINTS
- กพช. เห็นชอบกรอบหลักการของ “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน
- โครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังผลิตทั่วประเทศไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์
- ผลการคำนวณเบื้องต้นคาดว่าชุมชนจะได้รับประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่ลดลงเฉลี่ย 40–80 สตางค์ต่อหน่วย ตลอดอายุโครงการ 25 ปี
- การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ในอัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 25 ปี
- โครงการจะเปิดให้เอกชนร่วมกับชุมชนเข้าร่วมได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2568 หลังจากที่ กฟภ. สำรวจจุดเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า
ที่ผ่านมา ระบบไฟฟ้าของไทยพึ่งพาการผลิตจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่จำกัด ทำให้ต้นทุนส่งจ่ายไฟสูงและมีความเปราะบางต่อความผันผวนด้านพลังงานโลก แผนโซลาร์ฟาร์มชุมชนจึงถูกวางให้เป็น “กลไกกระจายศูนย์พลังงาน” โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในการติดตั้งและบริหารโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดไม่เกิน 5 เมกะวัตต์ต่อโครงการ
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ซึ่งมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมแทนนายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบ กรอบหลักการของ “โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน” (Community-based Solar Power Generation Project)
โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน ที่มุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับท้องถิ่น เพิ่มรายได้ให้ชุมชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนทั่วประเทศ
ชูโมเดล “พลังงานท้องถิ่น” ลดค่าไฟ 40–80 สตางค์
นายอรรถพล กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังผลิต ไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ทั่วประเทศ โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นผู้รับซื้อไฟในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ในอัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 25 ปี
“ต่อจากนี้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะไปสำรวจจุดเชื่อมต่อระบบไฟ ซึ่งคาดว่ามีหลายพันจุดทั่วประเทศ เพื่อเปิดให้ เอกชนร่วมกับชุมชนในสังกัด อปท. เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยผลการคำนวณเบื้องต้นพบว่า ชุมชนจะได้รับประโยชน์จากค่าไฟลดลงเฉลี่ย 40–80 สตางค์ต่อหน่วย ตลอดอายุโครงการ 25 ปี” นายอรรถพล กล่าว
นอกจากนี้ สิทธิในหน่วย Renewable Energy Certificate (REC) หรือ Carbon Credit ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานสะอาดของประเทศ
ทุ่ม 9,000 ล้าน หนุน “โซลาร์สูบน้ำ” ทั่วประเทศ
นอกจกนี้ ที่ประชุม กพช. ยังเห็นชอบกรอบการใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2569–2571 รวมวงเงิน 15,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2569 จะใช้งบ 9,000 ล้านบาท สนับสนุนโครงการ “โซลาร์สูบน้ำ” ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการไฟฟ้าชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อนำระบบโซลาร์เซลล์ไปใช้ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ
อีกทั้ง กพช. ยังมอบอำนาจให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายได้ตามความจำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานมีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสนับสนุนนโยบายพลังงานของประเทศ
อัดงบ 3.3 หมื่นล้านเพิ่มเสถียรภาพไฟฟ้า
กพช. ยังเห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายตัวของ Data Center และอุตสาหกรรมดิจิทัล ตามนโยบายรัฐบาล โดยใช้งบภายใต้โครงการ ปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออก (TIPE) วงเงินราว 3,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายไฟฟ้ารวม 1,750 เมกะวัตต์ ครอบคลุมจังหวัดระยองและชลบุรี
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมระยะสั้นและระยะยาว วงเงินรวม 30,500 ล้านบาท เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ EEC รองรับการเติบโตของภาคดิจิทัลและการลงทุนใหม่ในอนาคต ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติในลำดับถัดไป
Quick Big Win พลังงานสะอาด ราคาถูก เศรษฐกิจยั่งยืน
นายอรรถพล กล่าวย้ำว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนถือเป็นหนึ่งใน Quick Big Win ที่จะเห็นผลเป็นรูปธรรมภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยนอกจากช่วยลดภาระค่าไฟให้ครัวเรือนแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่น สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจดิจิทัลควบคู่กัน
“นี่คือโครงการพลังงานของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และกระจายโอกาสให้ทุกพื้นที่ได้มีไฟฟ้าราคายุติธรรมและยั่งยืน”







