ดีลแร่หายากในภาวะ ‘สงครามการค้า’ ‘นักวิชาการ’ เตือนไทยระวังสัญญาผูกขาด

ดีลแร่หายากในภาวะ ‘สงครามการค้า’  ‘นักวิชาการ’ เตือนไทยระวังสัญญาผูกขาด

นักวิชาการชี้สหรัฐทำข้อตกลงแร่หายากกับไทย ตามยุทธศาสตร์การหาแหล่ง rare earth ของสหรัฐ หลังจีนแบนการส่งออกแร่หายาก ทำให้กระทบหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมทหารและความมั่นคง แนะไทยลงนามแค่ในระดับข้อตกลง

KEY

POINTS

  • นักวิชาการชี้สหรัฐทำข้อตกลงแร่หายากกับไทย ตามยุทธศาสตร์การหาแหล่ง rare earth ของสหรัฐ หลังจีนแบนการส่งออกแร่หายาก
  • สหรัฐห่วงกระทบหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมทหารและความมั่นคง
  • แนะไทยลงนามแค่ในระดับข้อตกลง อย่าทำสัญญาผูกมัดการส่งออกแร่โดยผูกไว้เพียงแค่สหรัฐฯเท่านั้น
  • หวั่นสหรัฐใช้เป็นกลไกบีบเรื่องภาษีในอนาคต และจีนอาจไม่พอใจ  

จากกรณีที่ ไทย-สหรัฐ ได้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) เพื่อสร้างความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลกและส่งเสริมการลงทุน (Cooperation to diversify global critical minerals supply chains and promote investments) โดย MOU ฉบับนี้ได้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของทำเนียบขาว (www.whitehouse.gov)  ของรัฐบาลสหรัฐ  

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์  นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าในปัจจุบันสหรัฐหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการจัดหาแหล่งวัตถุดิบแร่หายากมากขึ้นโดยถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน เนื่องจากในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมานี้จีนมีการประกาศมาตรการการควบคุมการส่งออกแร่หายาก โดยมาตรการมีความเข้มงวดมากขึ้น และต้องรายงานการส่งออกแร่หายากแม้มีปริมาณน้อยให้รัฐบาลรับทราบ

มาตรการนี้ทำให้สหรัฐมีความตระหนักมากขึ้นว่าต้องหาแหล่งวัตถุดิบสำหรับแร่หายากที่สามารถบริหารจัดการได้ เพราะในปัจจุบันจีนครอบครองแหล่งแร่หายากถึงประมาณ 80 -85% ของปริมาณสำรองแร่หายากทั่วทั้งโลก เมื่อจีนใช้การกีดกันทางการค้าโดยใช้แร่หายากมาเป็นเครื่องมือเพิ่มเติมจากมาตรการภาษี จะทำให้กระทบต่อสหรัฐหลายด้านเนื่องจากแร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรมทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มหาอำนาจทั้งสหรัฐและจีนให้ความสำคัญ

นายสมชายกล่าวต่อว่ายุทธศาสตร์ของสหรัฐในเรื่องแร่หายากนั้นคือการทำข้อตกลงกับหลายๆประเทศที่มีปริมาณสำรอง หรือมีศักยภาพเรื่องแร่หายาก ซึ่งที่ผ่านมาเร็วๆนี้มีการทำข้อตกลงกับประเทศออสเตรเลีย แต่ก่อนหน้านี้มีการทำข้อตกลงกับบางประเทศ เช่น ประเทศยูเครน โดยลักษณะของข้อตกลงที่ทำกับแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกัน โดยส่วนที่มีการทำกับยูเครนนั้นสหรัฐทำข้อตกลงในลักษณะบังคับว่ายูเครนต้องมีการขายแร่หายากให้กับสหรัฐเท่านั้น

ส่วนที่ทำกับประเทศไทยนั้นยังเป็นลักษณะของการทำ MOU ซึ่งยังไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งก็ต้องดูว่าในระยะต่อไปภายหลังจากที่มีข้อตกลงนี้แล้วสหรัฐจะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมแร่หากยากในประเทศไทยมากแค่ไหน รวมทั้งจะถูกเชื่อมโยงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้า และข้อตกลงทางภาษีระหว่างไทยและสหรัฐหรือไม่

แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลไทยควรตั้งรับก็คือ ต้องไม่ให้ลักษณะข้อตกลงหรือสัญญาที่เราจะทำกับสหรัฐในระยะต่อไปเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดผูกขาดว่าจะให้ไทยเราต้องขายแร่หากยากให้กับสหรัฐเพียงประเทศเดียว เพราะหากทำข้อตกลงในลักษณะนั้นเท่ากับประเทศไทยจะเปิดทางให้สหรัฐเข้ามาทำสัญญาผูกขาด ซึ่งจะส่งผลกระทบให้มหาอำนาจอีกฝ่ายซึ่งก็คือประเทศจีนเกิดความไม่พอใจในเรื่องนี้ และอาจมีมาตรการตอบโต้ประเทศไทยได้เช่นกัน

 

“ยุทธศาสตร์ของสหรัฐในตอนนี้มีการกระจายการทำข้อตกลงเรื่องแร่หายากกับหลายประเทศ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นข้อตกลงที่ทำในตอนนี้ยังเป็นแค่ MOU แต่เชื่อว่าในระยะต่อไป หากมีการสำรวจพบปริมาณแร่หายากเพิ่มขึ้น สหรัฐก็จะเข้ามาทำสัญญาอย่างเป็นทางการกับประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือการทำสัญญาในลักษณะผูกขาด หรือผูกมัด

 เพราะการเปิดโอกาสให้มหาอำนาจเข้ามาทำสัญญาในรูปแบบนี้จะส่งผลเสียกับประเทศไทยมากกว่า และอาจถูกนำมาใช้เป็นกลไกในการบีบเราเรื่องภาษีได้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง และชั่งน้ำหนักข้อเสนอต่างๆกับผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ” นายสมชาย กล่าว