‘ปลาหมอคางดำ’ทั่วไทย7.3ล้านกิโลกรัม กรมประมงกำจัดแล้วลุยล้างบางสิ้นซาก

‘ปลาหมอคางดำ’ทั่วไทย7.3ล้านกิโลกรัม กรมประมงกำจัดแล้วลุยล้างบางสิ้นซาก

ครบ1 ปี กรมประมงรณรงค์โครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ” ผ่าน 7 มาตรการ ซึ่งปัจจุบันสามารถกำจัดได้แล้วกว่า 7.3 ล้านกิโลกรัม พร้อมทั้งยังเดินหน้าต่อเพื่อกำจัดให้สิ้นซาก

   นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมประมง   กล่าวว่า โครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงได้เร่งเดินหน้าขับเคลื่อน “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570” อย่างต่อเนื่อง ผ่าน 7 มาตรการสำคัญ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนก.พ. 2567 จนถึงปัจจุบัน มีความคืบหน้าในแต่ละมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

‘ปลาหมอคางดำ’ทั่วไทย7.3ล้านกิโลกรัม กรมประมงกำจัดแล้วลุยล้างบางสิ้นซาก

มาตรการที่ 1 การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด กรมประมงได้เร่งรัดการกำจัดปลาหมอคางดำอย่างเต็มรูปแบบผ่านกิจกรรมต่าง ๆ จนสามารถกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร รวมยอดสะสมเป็นจำนวน 7,325,234.50 กิโลกรัม ซึ่งจากที่พบการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวน 19 จังหวัด

เปิดลิสต์17จังหวัดยังพบการระบาด 

ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 17 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ส่วนจังหวัดที่ไม่พบการระบาดแล้ว คือ ปราจีนบุรี และพัทลุง อีกทั้งในภาพรวมของสถานการณ์ในหลายพื้นที่เริ่มบรรเทาลง โดยพบความชุกชุมในระดับน้อยถึง 9 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา พบความชุกชุมในระดับปานกลาง 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ย.2568)

มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมได้สำรวจความชุกชุมการแพร่ระบาดเป็นประจำทุกเดือน รวมทั้งมีการสำรวจและศึกษาพันธุ์ปลาผู้ล่าให้มีความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เพื่อปล่อยให้สอดคล้องกับระบบนิเวศเดิม สำหรับเป็นแหล่งอาหารและแหล่งสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยได้มีการปล่อยปลาผู้ล่ารวมแล้วกว่า 1,130,600 ตัว ประกอบด้วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย ปลากดเหลือง และปลากินเนื้ออื่น ๆ

ลุยต่อมาตรการปล่อยปลาผู้ล่า 

นอกจากนี้ กรมประมงยังได้ริเริ่ม โครงการ “สิบหยิบหนึ่ง” เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรนำปลาผู้ล่าไปปล่อยในบ่อเพาะเลี้ยง หลังจากนั้น 3 เดือน เมื่อปลาได้ขนาดโตเต็มศักยภาพ จะแบ่งปลา10% เพื่อนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการกำจัดอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

‘ปลาหมอคางดำ’ทั่วไทย7.3ล้านกิโลกรัม กรมประมงกำจัดแล้วลุยล้างบางสิ้นซาก

มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ ได้ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาที่ดิน นำปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดไปผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางภายใต้โครงการแปลงใหญ่นำไปใช้เพิ่มธาตุอาหารและเพิ่มผลผลิตยางพารา ซึ่งมีปริมาณถึง 4,938,740.50 กิโลกรัม พร้อมส่งเสริมการบริโภคโดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลิตเป็นปลาร้า รวมกว่า 385,425 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนภาคเอกชนนำไปผลิตเป็นปลาป่นเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ได้ปริมาณถึง 2,001,069 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 34 ล้านบาท

ให้ประชาชนแจ้งพิกัดพบปลาหมอคางดำ 

 

มาตรการที่ 4 การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่กันชน ได้จัดทำระบบแจ้งเตือนตำแหน่ง สำหรับให้ประชาชนแจ้งพิกัดการพบปลาหมอคางดำได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจจับการบุกรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที พร้อมออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการห้ามเพาะเลี้ยง ห้ามเคลื่อนย้ายปลาหมอคางดำ โดยมีผลบังคับใช้แล้ว 7 ฉบับ

มาตรการที่ 5 สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ ได้มีการบูรณาการและสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมราชทัณฑ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมจัดทำคลิปวีดิโอและคู่มือประชาสัมพันธ์การป้องกันและกำจัดปลาหมอคางดำ

ดึงวิจัย-นวัตกรรมร่วมสกัดการระบาด

มาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ขณะนี้กรมประมงกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลการทดลองเลี้ยงปลาหมอคางดำ 4n ในระบบเลียนแบบธรรมชาติ และหากได้ผลเป็นที่น่าพอใจจะกระจายการเพาะเลี้ยงไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำของกรมประมงทั่วประเทศ เพื่อเร่งผลิตปลาหมอคางดำ 4n และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป

มาตรการที่ 7 การฟื้นฟูระบบนิเวศ แบ่งเป็นระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยในระยะแรกนี้ กรมฯ ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลคุณภาพน้ำและองค์ประกอบความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละแหล่งน้ำ เพื่อวางแผนและดำเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความหลากหลายเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศต่อไป เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลานวลจันทร์ทะเล หอยหวาน หอยตลับ หอยลาย และปูม้า เป็นต้น ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 มีแผนการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 78,815,000 ตัว โดยสามารถปล่อยได้แล้วจำนวน 75,705,980 ตัว คิดเป็น 96.6% ของแผนทั้งหมด

ปราจีนบุรี-พัทลุงไร้ปลาหมอคางดำแล้ว

"สถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวม พบว่า จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดพัทลุง ไม่พบการระบาดของปลาหมอคางดำแล้ว ขณะที่การแพร่ระบาดในพื้นที่อื่นมีปริมาณลดลงเหลือเพียง 17 จังหวัด แบ่งออกเป็น  พื้นที่พบความชุกชุมในระดับน้อย (ไม่เกิน 10 ตัวต่อ 100 ตร.ม.) จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา

2) พื้นที่พบความชุกชุมในระดับปานกลาง (มากกว่า 10-100 ตัวต่อ 100 ตร.ม.) จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช"  

 อย่างไรก็ตามกรมประมงยังเร่งเดินหน้าขับเคลื่อน “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำอีก

 นอกจากนี้ กรมประมงยังร่วมกับชุมชน และหน่วยงานภาครัฐ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ (CPF) จัดกิจกรรม ปล่อยพันธุ์ปลากะพงขาว ขนาด 4-5 นิ้ว 10,000 ตัว ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติในกรุงเทพมหานคร การปล่อยปลานักล่าจะดำเนินต่อจากกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ที่มีการจับปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำ

ปล่อยปลากระพงขาวไล่ล่าปลาเอเลี่ยน

  นายยุคล เหมบัณฑิต ประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร  กล่าวว่า การปล่อยปลานักล่าเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของกรมประมงในการควบคุมและลดจำนวนปลาหมอคางดำ โดยเฉพาะ ปลากะพงขาว ซึ่งถือเป็นปลาดั้งเดิมในแหล่งน้ำของชุมชน และสามารถกำจัดลูกปลาหมอคางดำได้เป็นอย่างดี กิจกรรมการปล่อยปลานักล่าครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ โดยลูกพันธุ์ปลากะพงขาวที่ปล่อยในวันนี้ 10,000 ตัวได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ ขณะที่ชุมชนและพี่น้องเกษตรกรได้ร่วมกันคัดเลือกแหล่งน้ำที่เหมาะสมในการปล่อยปลาสองจุด ได้แก่ บริเวณคลองหน้าวัดลูกวัว และศูนย์เรียนรู้แสมดำ

“เกษตรกรในพื้นที่ต้องการปลากะพงขาวเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งกรุงเทพมหานครมีแผนจัดตั้ง ‘กองทุนปลากะพงขาว’ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในอนาคต ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังให้ความสำคัญกับการบูรณาการทุกภาคส่วนในการช่วยกันกำจัดปลาหมอคางดำ เช่น การรับซื้อปลาหมอคางดำกว่า 500,000 กิโลกรัม เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ”

วางแนวกันชนธรรมชาติพื้นที่ไม่ระบาด 

การปล่อยปลานักล่าเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น ที่ใช้กลไกธรรมชาติในการควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ ยังเป็นการเพิ่มชนิดของพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำ ช่วยให้ชุมชนได้รับประโยชน์โดยตรงจาก “ปลากะพงขาว” ซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจ สามารถจับขึ้นมาเป็นอาหารของครัวเรือน หรือนำไปจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้เสริมแก่ครัวเรือน

นอกจากนี้ ปลานักล่ายังมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็น “แนวกันชนธรรมชาติ” จำกัดขอบเขตการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำไม่ให้ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดที่ยังไม่พบการระบาด เช่น จังหวัดตราด ซึ่งมีการปล่อยปลากะพงขาวในแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อสร้างแนวป้องกันตามธรรมชาติ ลดความเสี่ยงต่อการรุกรานของปลาหมอคางดำในอนาคต

ทั้งนี้ กรมประมงยังคงติดตามและประเมินผลของมาตรการกำจัดและควบคุมปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ทั้งกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” และการปล่อยปลานักล่าในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเน้นส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ปลาหมอคางดำและสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งการแปรรูปเป็นอาหารเพื่อบริโภคและจำหน่าย ใช้เป็นอาหารของปลากะพงและปู รวมถึงทำเป็นน้ำหมักชีวภาพ เพื่อให้การจัดการปลาหมอคางดำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของความร่วมมือและการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล