BAFS เตือน 'บาทแข็ง' ซ้ำเติมท่องเที่ยว จี้รัฐรีเซ็ตเศรษฐกิจ ฟื้น EEC

BAFS เตือน 'บาทแข็ง' ซ้ำเติมท่องเที่ยว จี้รัฐรีเซ็ตเศรษฐกิจ ฟื้น EEC

BAFS เตือนเศรษฐกิจไทย “เปราะบางเชิงโครงสร้าง” ทั้งด้านความสามารถในการแข่งขัน การท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และภาพลักษณ์ประเทศที่ถดถอย แนะรัฐปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงลึก ดึงดูดการลงทุนใหม่ ฟื้นความเชื่อมั่นในโครงการ EEC

KEY

POINTS

  • BAFS ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมี “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ฉุดรั้งศักยภาพ ทำให้ตามหลังเวียดนามที่กำลังเร่งพัฒนาและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้ดีกว่า
  • เรียกร้องให้รัฐบาลนำโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กลับมาเป็นยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้ง เพื่อสร้างความต่อเนื่องของนโยบายและฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน
  • ชี้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกว่า 7% เมื่อเทียบกับภูมิภาค ประกอบกับภาพลักษณ์ด้านความไม่ปลอดภัยและธุรกิจสีเทา เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
  • เสนอให้รัฐ "รีเซ็ต" เศรษฐกิจโดยเริ่มจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอากาศยาน เพื่อลดราคาตั๋วเครื่องบินในประเทศ และกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง

เศรษฐกิจไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เปราะบางกว่าที่เห็นในตัวเลข GDP เรื่องนี้ ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS มองว่า “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” คือรากฐานที่ฉุดรั้งศักยภาพของประเทศ ขณะที่ภูมิภาคเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม กำลังเร่งสปีดขึ้นแท่น “แม่เหล็กใหม่” ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก

“วันนี้เราต้องยอมรับว่าเวียดนามไปเร็วมาก เขามีทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การเชื่อมโยงระหว่างมหาวิทยาลัยกับเอกชน และความชัดเจนในทิศทางเศรษฐกิจ เช่น กรณี Nvidia ที่เลือกเวียดนาม แสดงให้เห็นว่าเขาเตรียมพร้อมกว่าประเทศไทย”

ฟื้น “EEC” จุดยุทธศาสตร์การลงทุน

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานและภูมิรัฐศาสตร์ แต่สิ่งที่ขาดคือ “ความต่อเนื่องของนโยบาย” โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ถูกออกแบบให้เป็นฐานการลงทุนแห่งอนาคตของประเทศ

EEC ต้องกลับมาอยู่บนโต๊ะยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพราะถ้าเราปล่อยให้ภาพลักษณ์ของโครงการจางหายไป นักลงทุนต่างชาติจะยิ่งลังเล และไทยจะยิ่งเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค” 

นอกจากนี้ หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบินอู่ตะเภา และระบบเชื่อมต่อท่าเรือ–สนามบิน จะช่วยกระจายการลงทุนจากกรุงเทพฯ และสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ครบวงจร

ลดภาษีน้ำมันอากาศยาน–ฟื้นท่องเที่ยวเมืองรอง

ทั้งนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่อยากเสนออย่างตรงไปตรงมา คือ การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอากาศยานในประเทศ ที่ปัจจุบันเก็บที่ 4.726 บาทต่อลิตร (คิดเป็น 23% ของราคาน้ำมัน) ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก เช่น เวียดนามเก็บเพียง 1.2 บาท การลดลงเหลือต่ำกว่า 2 บาท หรือ 1.40 บาท จะทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศถูกลง จะช่วยลดต้นทุนสายการบินและราคาตั๋วโดยสารได้มาก 

นอกจากนี้ จะกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศได้ถึง 5-6% ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คุ้มค่า เนื่องจากรายได้ที่สูญเสียจากภาษีสรรพสามิตจะถูกชดเชยด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีรายได้นิติบุคคล จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว

“ปัจจุบันต้นทุนเชื้อเพลิงคิดเป็นกว่า 30% ของต้นทุนสายการบิน การลดภาษีจะช่วยให้ตั๋วเครื่องบินในประเทศราคาถูกลง ประชาชนเดินทางมากขึ้น เมืองรองจะได้ประโยชน์โดยตรง”

ปัญหาภาพลักษณ์–ค่าเงินบาทแข็งฉุดซ้ำ

นอกจากต้นทุนเชื้อเพลิง ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ยังชี้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกว่า 7% เมื่อเทียบกับภูมิภาค รวมถึงปัญหาความไม่ปลอดภัยและธุรกิจสีเทาในสายตาชาวต่างชาติ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ไปเที่ยวที่เวียดนามโต 44% สวนทางกับไทยที่ลดลง 35% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าทั้งปีไทยอาจมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 7-9% จากปีก่อน

“ถ้าเราไม่เร่งจัดการปัญหาธุรกิจสีเทาอย่างจริงจัง ภาพลักษณ์ประเทศจะเสียหายยิ่งกว่าเศรษฐกิจ เพราะความรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่ยากจะฟื้น จึงอยากเสนอให้รัฐสร้างกลไกประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีน"

ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางการเมือง มุมมองของ BAFS สะท้อนภาพ “โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ต้องการรีเซ็ต” อย่างเร่งด่วน

การลดภาษีน้ำมันอากาศยานอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ในภาคท่องเที่ยวและภูมิภาค ขณะที่การรื้อฟื้น EEC และสร้างความต่อเนื่องของนโยบายระยะยาว จะเป็นกุญแจสำคัญในการพาประเทศกลับสู่เส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืน