‘ศุภจี’ยึดเวทีอาเซียนเจรจาสหรัฐ เร่งเคาะเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า

‘ศุภจี’ยึดเวทีอาเซียนเจรจาสหรัฐ เร่งเคาะเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า

“ศุภจี” เตรียมหารือทวิภาคีสหรัฐ ช่วงประชุมอาเซียน เพื่อเร่งหาข้อสรุปประเด็นภาษีตอบโต้ “กรมการค้าต่างประเทศ” จับมือ สรท.ติวเข้มผู้ส่งออกรับมือกฎ RVC ลุ้นปรับสูตรคำนวณใหม่  คาดจบ พ.ย.นี้ เตรียมคุมเข้มการตรวจทุกชิปเมนต์ที่ส่งไปสหรัฐ ก่อนออกใบ C/O ป้องกันสวมสิทธิ์

KEY

POINTS

  • ไทยเตรียมใช้เวทีการประชุมสุดยอดอาเซียนเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ เพื่อเร่งหาข้อสรุปประเด็นภาษีตอบโต้และเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า (RVC) ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี
  • ประเด็นหลักในการเจรจาคือการกำหนดเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค (RVC) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าจากประเทศที่สาม ซึ่งเป็นข้อกังวลของสหรัฐฯ
  • กรมการค้าต่างประเทศเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการรับมือเกณฑ์ใหม่ และมีแผนออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ที่ส่งไปสหรัฐฯ ไว้ที่เดียวเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

หลังจากที่สหรัฐประกาศอัตราภาษีตอบโต้จากสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น 19% ยังมีประเด็นการกำหนดสัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content : RVC) โดยสหรัฐกำหนดเกณฑ์สินค้า Transshipment เพื่อป้องกันการสวมแหล่งกำเนิดสินค้าของประเทศที่ 3 เพื่อส่งเข้าไปสหรัฐ และที่ผ่านมาสหรัฐประกาศอัตราจัดเก็บภาษีสินค้ากลุ่มนี้เพิ่ม 40%

ที่ผ่านมาไทยเสนอแนวทางการเจรจากฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า โดยเฉพาะการกำหนด RVC  ที่ไทยเสนอให้อยู่ในอัตราที่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่สามารถทำได้

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน วันที่ 26-28 ต.ค.2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ที่มีผู้แทนสหรัฐเข้าร่วมประชุม ซึ่งไทยจะหารือทวิภาคีกับสหรัฐเกี่ยวกับภาษีตอบโต้ 19% และรายละเอียดที่จะบรรจุในความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ไทย-สหรัฐ โดยถ้าเจรจาเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตามก็อาจจะตกลงกัน

ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่คณะเจรจาด้านเทคนิคที่จะหารือต่อ แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้ากับสหรัฐ ที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน

“คณะทำงานด้านเทคนิคของไทยหารือรายละเอียดแต่ละเรื่องต่อเนื่องและตกตะกอนค่อนข้างมาก รอคุยรายละเอียดด้านเทคนิคเพิ่ม และช่วงประชุมอาเซียนซัมมิต ไทยจะเจรจาสหรัฐ เพื่อให้การเจรจาจบเร็วตามความตั้งใจ 2 ฝ่ายที่ต้องการให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้

‘ศุภจี’ยึดเวทีอาเซียนเจรจาสหรัฐ เร่งเคาะเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า

สำหรับการเปิดเสรีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจะเพิ่มหรือถอดรายการสินค้าหรือไม่ต้องหารือรายละเอียด และคณะทำงานยุทธศาสตร์ฯ จะพิจารณา แต่ยืนยันว่าการเจรจาจะคำนึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ 

ทั้งนี้ หากเจรจาจบในสิ้นปี 2568 หลังจากนั้นจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบก่อนลงนามความตกลงร่วมกับสหรัฐเพื่อให้มีผลใช้บังคับ

สหรัฐใช้ RVC คุมสินค้านำเข้า

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวกับกรุงเทพธุรกิจว่า ภายหลังการสหรัฐเก็บภาษีไทย 19% และเก็บ 40% สำหรับสินค้า Transshipment ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดและหากเจรจาสำเร็จคาดว่าสหรัฐจะใช้เกณฑ์ RVC แทนการพิจารณากระบวนการผลิตหรือเกณฑ์การเปลี่ยนพิกัดศุลกากร โดยใช้สัดส่วนหรือเปอร์เซ็นต์การใช้วัตถุดิบในประเทศและต่างประเทศ

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศและสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) จัดสัมมนาเชิงวิชาการหัวข้อ “RVC-Transshipment : การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการกับหลักเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐ เพื่อสร้างความเข้าใจหลักเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าและสัดส่วน RVC

รวมถึงแนวทางปฏิบัติและการขอรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าตามหลักเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐ เพื่อให้การยื่นขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดในการส่งออกไปสหรัฐถูกต้อง ลดผลกระทบจากมาตรการทางการค้าตามนโยบาย “Quick Big Win” ของนางศุภจี

นางอารดา กล่าวว่า ถิ่นกำเนิดสินค้าเปรียบเสมือนสัญชาติของสินค้าที่ต้องมีกฎเกณฑ์รองรับเช่นเดียวกับการมีบัตรประชาชน โดยกฎถิ่นกำเนิดสินค้าถูกกำหนดขึ้นตามหลักสากลและเจรจาตกลงกับประเทศคู่ค้า ซึ่งหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ามี 2 ประเภท คือ

‘ศุภจี’ยึดเวทีอาเซียนเจรจาสหรัฐ เร่งเคาะเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า

1.หนังสือรับรองเพื่อขอรับสิทธิลดหย่อนภาษีตามกรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยมีข้อตกลง 14 กรอบ กับ 18 ประเทศ เช่น การส่งออกไปเวียดนามในกรอบอาเซียนจะใช้ฟอร์ม D ของกรมการค้าต่างประเทศ

2.หนังสือรับรองประเภทที่ใช้สำหรับการส่งออกไปประเทศที่ยังไม่มี FTA หรือเพื่อยืนยันแหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งวัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อลดภาษี แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ โดยหน่วยงานที่ออก ได้แก่ กรมการค้าต่างประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

สำหรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแบ่งเป็น 2 เกณฑ์ คือ 

1.Wholly Obtained (WO) ที่สินค้าต้องปลูกและเติบโตในประเทศหรือการใช้วัตถุดิบในประเทศทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร 

2.Not Wholly Obtained ที่สินค้าที่ไม่ได้ใช้วัตถุดิบในประเทศ แต่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อมาผลิต หรือมาประกอบเป็นสินค้า โดยต้องผ่านการ ‘แปรสภาพอย่างเพียงพอ’ (Substantial Transformation:ST) 

ทั้งนี้จะพิจารณาจาก 2 วิธีหลัก คือ อัตราส่วนร้อยละของวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content Percentage) หรือกฎการเปลี่ยนพิกัดศุลกากร (Change in Tariff Classification: CTC) ของวัตถุดิบนำเข้ากับสินค้าส่งออก โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ หากจะดูว่าสินค้านั้นแปรสภาพอย่างเพียงพอหรือไม่ ซึ่งตรงนี้วัดลำบากทำให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์มาชี้วัดเรียกว่า กฎ RVC (Regional Value Content) โดยกำหนดให้มูลค่าไม่น้อยกว่า 40% ของผลิตภัณฑ์ต้องเกิดขึ้นภายในอาเซียน

คาดใช้วัตถุดิบในภูมิภาคเกิน50%

ส่วนการส่งออกไปสหรัฐนั้นไทยยังไม่มี FTA กับสหรัฐจะใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาทั้ง WO และ Not Wholly Obtained ภายใต้กฎแหล่งกำเนิดสินค้าของสหรัฐที่สหรัฐกำหนดเกณฑ์การ ‘แปรสภาพอย่างเพียงพอ’ หรือกระบวนการผลิตและเกณฑ์การเปลี่ยนพิกัดศุลกากรที่วัตถุดิบนำเข้าและสินค้าส่งออกจะต้องเป็นพิกัดคนละตัวกัน

ทั้งนี้  รายละเอียดสูตรคำนวณการใช้วัตถุดิบคาดว่าจะมีความชัดเจนเดือน พ.ย.นี้ โดยวัตถุดิบในประเทศอาจรวมถึงไทย สหรัฐและประเทศอื่นได้ภาษีสหรัฐเท่ากันหรือต่ำกว่าไทย

นอกจากนี้มีข้อยกเว้นสำคัญที่ลดภาษีตอบโต้ 19% คือ หากใช้วัตถุดิบจากสหรัฐมากกว่า 20% ส่วนที่เหลือนำมาจากไทยหรือประเทศอื่น เมื่อนำมาคำนวณภาษีจะคิดเฉพาะส่วนที่เป็นวัตถุดิบที่ไม่ใช่มาจากสหรัฐ เท่านั้น 

ดังนั้น หากใช้วัตถุดิบจากสหรัฐมากเท่าไรจะเสียภาษีสหรัฐน้อยลงเท่านั้น เช่น สินค้า 100 บาท ใช้วัตถุดิบจากสหรัฐ 25% ส่วนที่เหลืออีก 75% ไม่ใช่วัตถุดิบจากสหรัฐ โดยการคำนวณราคาสินค้าจะคิดภาษีสหรัฐ 19% เฉพาะวัตถุดิบที่ไม่ใช่มาจากสหรัฐ

ส่งออกไป “สหรัฐ” ตรวจทุกชิปเมนต์

ส่วนขั้นตอนการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) เพื่อส่งออกไปสหรัฐ หากเป็นสินค้าทั่วไปผู้ส่งออกสามารถขอใบ C/O ทั่วไปได้ตามปกติ แต่หากเป็นสินค้าเฝ้าระวัง 49 รายการที่ส่งออกไปสหรัฐ ผู้ส่งออกต้องตรวจรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าก่อน หากผ่านเกณฑ์ก็ขอใบ C/O ได้

“สหรัฐกังวลมากเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า การสวมสิทธิ์ จึงนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นหลักการเจรจาภาษีตอบโต้ โดยกรมฯ มีแผนในอนาคตหากการเจรจาสำเร็จจะขอเป็นผู้ออกใบ C/O เพียงหน่วยงานเดียวจากเดิมมี 3 หน่วยงาน ซึ่งใบ C/O มีความแตกต่างกันทางสหรัฐก็ไม่แน่ใจจริงหรือไม่จริง" นางอารดา กล่าว

ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจึงจะให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ออกใบ C/O ส่งออกไปสหรัฐเพียงหน่วยงานเดียว นอกจากนี้การตรวจถิ่นกำเนิดสินค้า กรมฯจะเพิ่มให้การตรวจทุกสินค้าและทุก shipment ที่ส่งออกไปสหรัฐต้องมาตรวจสอบกับกรมฯ ก่อนออกใบ C/O เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสวมสิทธิส่งออกไปสหรัฐและสร้างความเชื่อมั่นในการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครชิคาโก สหรัฐฯ ได้รายงานว่า จากข้อมูลของบริษัท Descarts บริษัทซอฟต์แวร์ให้บริการระบบคลาวนด์สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ ชี้ให้เห็นว่า เดือนก.ย.68 สหรัฐฯนำเข้าสินค้าทางตู้คอนเทนเนอร์รวม 2.31 ล้านทีอียู (ตู้ 20 ฟุต) ลดลง 8.4% เทียบเดือนก.ย.67

ส่วนการนำเข้าจากจีนเหลือเพียง 762,772 ทีอียู ลดลง 22.9% โดยสินค้าที่นำเข้าลดลง ได้แก่ อะลูมิเนียม รองเท้าสำเร็จรูป เครื่องจักรไฟฟ้า ของเล่น เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา ขณะที่การนำเข้าจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง ก็ลดลงเช่นกัน

แต่การนำเข้าจากอาเซียน ทั้ง อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม รวมถึงเอเชียใต้ อย่าง อินเดีย กลับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำเข้าเป็นรายเดือนจากอาเซียน กลับชะลอลงเกือบทุกประเทศ ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของห่วงโซ่การผลิตภายใต้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ และการเร่งส่ออกอ่อนแรงลง

ทั้งนี้ สคต.ชิคาโก ให้ความเห็นว่า จีนกำลังเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดยมีอาเซียน และเอเชียใต้ เป็นทางเลือกใหม่ในการเปลี่ยนเส้นทางห่วงโซ่การผลิต และการนำเข้าของสหรัฐฯ แต่แม้บางประเทศในอาเซียน จะขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯได้ แต่การส่งออกของอาเซียนเริ่มชะลอลงเกือบทุกประเทศ เป็นผลจากความไม่แน่นอนของคำสั่งซื้อ ค่าระวางเรือที่ยังผันผวน เศรษฐกิจโลกอ่อนแรง

รวมถึงความตึงเครียดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายกีดกันการค้ามากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลก ดังนั้น ผู้ส่งออก ต้องกระจายฐานการผลิตไปยังหลายประเทศ พึ่งพาการผลิตในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง