ปิดฉาก ‘วรภัค’ รมช.คลัง 33 วัน เผชิญมรสุมโยง ‘สแกมเมอร์’

“วรภัค” แถลงลาออก รมช.คลัง ชี้แจงข้อกล่าวหาเกี่ยวข้องสแกมเมอร์ข้ามชาติ เผยลาออกเพื่อเปิดทางให้ตรวจสอบ ยืนยันไม่เกี่ยวข้องสแกมเมอร์เมอร์ข้ามชาติ รู้จัก “เบนจามิน” เพราะลูกเรียนที่เดียวกัน ระบุเคยให้คำปรึกษาทางวาจาเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร BIC Bank กัมพูชา
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2568 เพื่อให้มาช่วยงานนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยที่ผ่านมานายวรภัค ถูกกล่าวหาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ
การกล่าวหาดังกล่าวนำมาสู่การนัดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงในเวลา 14.00 น.วันที่ 22 ต.ค.2568 ที่กระทรวงการคลัง โดยการทำงานของนายวรภัค ถูกวางบทบาทให้มาแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นกับดักเศรษฐกิจไทย รวมถึงเป็นประเด็นที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และสถาบันจัดอันดับแสดงความกังวลต่อแนวโน้มที่สูงขึ้น
สำหรับนายวรภัค เข้ามาสู่แวดวงการเมืองด้วยการเป็นที่ปรึกษานายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ก่อนที่จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตามโควต้ารัฐมนตรีคนนอก
นายวรภัค เปิดเผยว่า ภารกิจหลักของการทำงานช่วงที่ผ่านมา คือการแก้ปัญหาเรื่องหนี้ภาคประชาชน โดยจะใช้กลไกของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มาซื้อหนี้เพื่อไปบริหาร ดำเนินการผ่าน 2 แห่ง คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI-AMC) รับหนี้เสียวงเงินต่ำกว่า 1 แสนบาท ไปบริหาร โดยคาดว่าจะเริ่มโอนล็อตแรกราว 6-7 หมื่นล้านบาท รวมถึงต้องหารือกับ Non-bank เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาหนี้
นอกจากนี้ แนวทางที่สำคัญกว่าและต้องทำเพื่อให้การแก้หนี้เป็นไปอย่างยั่งยืนคือการแก้ไขปัญหา หนี้นอกระบบ
ปัญหาหลักของหนี้นอกระบบคืออัตราดอกเบี้ยที่สูงมากถึงประมาณ 200% เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในระบบที่สูงสุดเพียง 30% หากไม่แก้ไขหนี้นอกระบบ ลูกหนี้ก็จะวนเวียนกลับไปเป็นหนี้อีก
กระทรวงการคลัง จึงเคยมีการหารือเรื่อง Risk-based Pricing Policy เพื่อพิจารณาการขยับปรับอัตราดอกเบี้ยให้กว้างขึ้น จุดประสงค์ของนโยบายนี้คือการเพิ่มความยืดหยุ่นในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อเป็นทางเลือกในการดึงลูกหนี้นอกระบบให้กลับเข้าสู่ระบบได้
แจงปมเกี่ยวข้องสแกมเมอร์
นายวรภัค กล่าวถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวข้องกับกลุ่มสแกมเมอร์ข้ามชาติว่า ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือธุรกิจผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชาหรือประเทศอื่นใด
สำหรับกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยง BIC Group และ BIC Bank Cambodia ให้เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น ไม่อาจทราบได้และต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง
นายวรภัค ยอมรับว่า โดยส่วนตัวที่เคยพบกับนายเลียก ยิม (Leak Yim) ผู้บริหารของ BIC Bank Cambodia ประธานกรรมการของธนาคาร ได้มีการแนะนำผ่านบุคคลที่สาม โดยตนเพียงให้คำปรึกษาทางวาจาเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร แต่ไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใดๆ และไม่เคยเป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใดๆ ของ BIC Bank Cambodia
ส่วนกรณีที่เผยแพร่รูปตนและชื่อลงบนเว็บไซต์ในตำแหน่งที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้นตนไม่เคยรับทราบมาก่อน เพียงแต่ทราบจากข่าวเท่านั้น และเมื่อไปค้นดูในเว็บไซต์รูปภาพดังกล่าวก็ถูกนำออกไปแล้ว จึงคาดว่าจะไม่มีการฟ้องร้องใดๆ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
รู้จัก “เบนจามิน” เพราะลูกเรียนที่เดียวกัน
นอกจากนี้ ความเกี่ยวข้องกับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) นั้น นายวรภัค กล่าวว่า ตนและภรรยาได้รู้จักกับนายเบนจามินในฐานะผู้ปกครองของเพื่อนลูก ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ชั้นเดียวกัน โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น โดยไม่เคยทราบเชิงลึกว่า นายเบนจามินประกอบธุรกิจอะไรอย่างไรหรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับนายเลียก ยิม
ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นนอมินีเชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเชีย ไซรัส (Finansia Syrus: FSS) ผ่าน Pilgrim Finansa ในปี 2564 นายวรภัค กล่าวว่า ตนและนายช่วงชัย นะวงศ์ ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Pilgrim Finansa ถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วนตน 60% และนายช่วงชัย 40% เพื่อเข้าซื้อหุ้น 29% ของบริษัทหลักทรัพย์พินันเซีย ไซรัส (FSS)
โดยการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า Management Buy Out อีกนัยหนึ่งคือผู้บริหารที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการของบริษัท ซึ่งเป็นธุรกรรมถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
“ธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นี้เป็นเรื่องปกติ ถ้าธนาคารหรือผู้กู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นำมาเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 29% ซึ่งถือว่าเป็น Controling stake ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดขณะนั้นเป็นอันดับสองของประเทศ“
การซื้อหุ้นในครั้งนั้น ได้รับวงเงินสนับสนุนเพื่อซื้อหุ้นและส่วนที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) จาก 2 ส่วน ได้แก่
1.เงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment (CAI) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุน ภายใต้การกำกับดูแลของ MAS ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล
2.จาก BIC Bank Lao ธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ “Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd.” และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว เพื่อเตรียมการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น
ทั้งนี้ วงเงินจาก BIC Laos เป็น standby facility เพื่อทำ tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
ไม่ทราบข้อมูล BIC Bank
นายวรภัค ชี้แจงว่า BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีตถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้นไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้น ความเป็นเจ้าของและการบริหาร จัดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้วเป็นธุรกิจธนาคารที่คอนขางอยูตัวแลว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว
และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdings 99% และนายเลียก ยิม 1%
นายวรภัค กล่าวว่า หลังจากได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์พินันเซีย ในปี 2564 ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัทโดยจ้าง MCKinsey & Co. เป็นที่ปรึกษาเพื่อทำ Digital Transformation พัฒนาให้เป็นองค์กรดิจิตัล
อย่างไรก็ตามการปรับปรุงองค์กรไม่เร็วอย่างที่คาดจึงทำให้ปลายปี 2567 ตนได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับนายช่วงชัย และลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท หลังจากนั้นไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ
บิดเบือนข้อมูลรับผลประโยชน์
นายวรภัค กล่าวว่าการที่บุคคลใดจะนำชื่อของตนในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง ดังนั้น การคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จว่าตนเป็นนอมินีหรือเป็นฟันเพื่องสำคัญของกระบวนการสแกมเมอร์ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีล่าสุดใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยาว่ารับผลประโยชน์เป็นคริปโตหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริง
“ภรรยาของผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆ ทั้งสิ้นทั้งอดีตและปัจจุบัน และไม่เคยรับผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย”
นายวรภัค กล่าวว่า มีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใสตรวจสอบได้ตลอด 30 ปีในแวดวงการเงินระดับสากลทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทย และปัจจุบันทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้วยความซื่อสัตย์สุจริตข้าราชการกระทรวงการคลังที่มีมีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่า 1 ปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งปัจจุบันจะยืนยันได้ว่าทำงานอย่างไร
นายกฯ ไม่ได้กดดันให้ลาออก
ทั้งนี้ ได้ปรึกษานายกรัฐมนตรีแล้ว และให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจ ยืนยันว่า ไม่ถูกกดดันจากรัฐบาล และการตัดสินใจใช้เวลาไม่นาน
“เรื่องลาออกเพิ่งคิดได้ไม่นาน แต่ได้เกริ่นกับนายกฯ บ้างแล้ว และแจ้งนายเอกนิติ ไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาลหรือนายกฯ เป็นการตัดสินด้วยตัวเอง แต่เพื่อต้องการให้การตรวจสอบมีอิสระ และหากอยู่อาจกระทบการทำงานรัฐบาลที่มีเวลาจำกัดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาผมไม่มีความทะเยอทะยานในตำแหน่งทางการเมือง แต่เข้ามาเพราะอยากใช้ความรู้ช่วยเหลือประเทศชาติ”
นายวรภัค กล่าวว่า หลังจากยื่นหนังสือลาออกแล้วจะรวบรวมข้อมูลเท็จจริงไว้ต่อสู้ และจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จทำให้ตนและภรรยาเสียชื่อเสียง โดยเฉพาะนายทอม ไรซ์จะถูกฟ้องเป็นคนแรก รวมถึงคนนำข้อมูลเท็จมาเผยแพร่







