โค้งสุดท้ายปลายปี68 ‘SME D Bank’ หนุนรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน 5 พันล้าน

โค้งสุดท้ายปลายปี 2568 "SME D Bank" เรื่องเครื่องหนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้ได้เข้าถึงแหล่งทุนกว่า 5 พันล้านบาท
ข้อมูลสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ปี 2566 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีจำนวน 3,225,743 ราย คิดเป็น 99.5% ของผู้ประกอบการภาคเอกชนทั้งประเทศ จำแนกเป็นเอสเอ็มอีรายย่อย (Micro) จำนวน 2,739,530 ราย (85%) จำนวนการจ้างงาน 5,426,410 ราย
เอสเอ็มอีรายย่อม (Small) จำนวน 439,058 ราย (13.5%) จำนวนการจ้างงาน 5,047,769 ราย และรายกลาง (Medium) จำนวน 47,155 ราย (1.5%) จำนวนการจ้างงาน 2,455,839 ราย
หากแบ่งประเภทเอสเอ็มอีตามนิติบุคคล 875,576 ราย (27%) เอสเอ็มอีส่วนบุคคลและอื่นๆ 2,268,483 ราย (70%) และวิสาหกิจชุมชนจำนวน 81,674 ราย (3%) ขณะที่การจ้างงานของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งประเทศสูงถึง 12,930,018 ราย หรือ 70% ของการจ้างงาน
ผู้ประกอบการภาคเอกชนทั้งประเทศ โดยการจ้างงานของเอสเอ็มอีนิติบุคคลมีจำนวน 4,887,070 ราย และเอสเอ็มอีส่วนบุคคลและอื่นๆจำนวน 8,042,948 ราย
ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนรุนแรงกว่าที่คาด ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยซึ่งเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ของระบบเศรษฐกิจประเทศ กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูง การเข้าถึงแหล่งทุนที่ยังจำกัด
ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และแรงกดดันจากเทคโนโลยีและการแข่งขันในตลาดโลก ขณะที่หลายธุรกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากผลกระทบโควิด-19 ปัญหาสภาพคล่องจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตของ SME ไทย
ภาครัฐจึงต้องเร่งเดินหน้า “มาตรการช่วยเหลือเชิงรุก” โดยเฉพาะในมิติด้านการเงินและการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวทันต่อสถานการณ์ และยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว
ล่าสุด ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ได้ขานรับนโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” ของกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งเครื่องปล่อยสินเชื่อกว่า 5,000 ล้านบาท ภายใน 3 เดือน พร้อมแผนพัฒนาแบบครบวงจร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เอสเอ็มอีไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤติและต่อยอดสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
พร้อมปล่อยสินเชื่อ 5พันล้านใน3เดือน
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธนาคารเร่งขับเคลื่อนนโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” ที่ได้รับมอบจาก นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งทุนได้รวดเร็วและทั่วถึง โดยสอดคล้องกับแนวทาง “Quick Big Win” ของรัฐบาลที่ต้องการเห็นผลในระยะสั้น แต่เกิดผลลัพธ์จริงทางเศรษฐกิจ
“ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อรวมกว่า 5,000 ล้านบาท ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ผ่านทั้งสินเชื่อภายใต้นโยบายรัฐและผลิตภัณฑ์สินเชื่อของธนาคารเอง ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเพียง 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก วงเงินสูงสุดรายละ 50 ล้านบาท เพื่อเติมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ช่วยรักษาการจ้างงาน ฐานการผลิต และการจ่ายค่าจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ”
ดอกเบี้ยต่ำ–หนุนธุรกิจรับยุคเปลี่ยนผ่าน
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อดังกล่าวมุ่งช่วยผู้ประกอบการในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้น รวมถึงความผันผวนของตลาดโลก เพื่อให้สามารถรักษาสภาพคล่องและปรับตัวสู่รูปแบบธุรกิจใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากเสริมด้านการเงินแล้ว SME D Bank ยังให้ความสำคัญกับการ “พัฒนาเชิงลึก” เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการในระยะยาว โดยออกแบบแนวทางสนับสนุนแบบครบวงจรภายใต้โมเดล “5G” ได้แก่
1. GO Global พัฒนาสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐานสากล ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน
2. GO Access to Finance เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้อย่างมั่นใจ ด้วยการให้คำปรึกษาและอบรมด้านการเงิน
3. GO Digital & AI ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และขยายช่องทางการตลาด
4. GO Green Productivity & Innovation หนุนธุรกิจมุ่งสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย Net Zero
5. Goal Sustainable พัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
“DX by SME D Bank” ยกระดับความรู้
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th) ให้ผู้ประกอบการสามารถ Upskill และ Reskill ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมจัดกิจกรรมฝึกอบรมในพื้นที่เมืองรองทั่วประเทศ ระหว่างเดือนต.ค.-ธ.ค. 2568 เน้นเนื้อหาที่ช่วยเพิ่มยอดขายและลดต้นทุน เช่น 1. การเพิ่มช่องทางขายผ่าน E-Commerce 2. การใช้เครื่องมือ Digital Tools และ AI เพื่อบริหารจัดการธุรกิจ 3. การอบรมด้านการเงิน (Financial Literacy) เพื่อสร้างความเข้าใจในการวางแผนและบริหารสภาพคล่อง
นายพิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารเชื่อว่าการพัฒนาองค์ความรู้ควบคู่ไปกับการสนับสนุนทางการเงิน จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีภูมิคุ้มกัน สามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การเข้าถึงแหล่งทุนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับ SME ไทยในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน ภาครัฐจึงต้องเดินหน้า “ช่วยแบบครบวงจร” ทั้งด้านเงินทุน เทคโนโลยี ความรู้ และการสร้างตลาดใหม่ ๆ ให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้จริงในทุกมิติ







