คำต่อคำ ‘วรภัค’ แถลงลาออก รมช.คลัง ปัดเอี่ยวสแกมเมอร์-ลุยฟ้องข่าวเท็จ

เปิดคำแถลง “วรภัค” ประกาศลาออกตำแหน่ง รมช.คลัง เปิดทางให้มีการตรวจสอบ ยันไม่เกี่ยวข้องสแกมเมอร์เมอร์ข้ามชาติทุกกรณี
วันนี้ (22 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง จัดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ หลังจากมีกระแสข่าวพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ณ ห้องประชุม 401 อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง
นายวรภัค กล่าวว่า ตนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือธุรกิจผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชาหรือประเทศอื่นใด
สำหรับกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยง BIC Group และ BIC Bank Cambodia ให้เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น ตนไม่อาจทราบได้ และคงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง
นายวรภัค ยอมรับว่า โดยส่วนตัวที่เคยพบกับนายเลียก ยิม (Leak Yim) ผู้บริหารของ BIC Bank Cambodia ประธานกรรมการของธนาคาร ได้มีการแนะนำผ่านบุคคลที่สาม โดยตนเพียงให้คำปรึกษาทางวาจาเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร แต่ไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใดๆ และไม่เคยเป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใดๆ ของ BIC Bank Cambodia
ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่รูปตนและชื่อลงบนเว็บไซต์ในตำแหน่งที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้นตนไม่เคยรับทราบมาก่อน เพียงแต่ทราบจากข่าวเท่านั้น และเมื่อไปค้นดูในเว็บไซต์รูปภาพดังกล่าวก็ถูกนำออกไปแล้ว จึงคาดว่าจะไม่มีการฟ้องร้องใดๆ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
ส่วนความเกี่ยวข้องกับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) นั้น นายวรภัค กล่าวว่า ตนและภรรยาได้รู้จักกับนายเบนจามินในฐานะผู้ปกครองของเพื่อนลูก ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ชั้นเดียวกัน โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น โดยไม่เคยทราบลึกๆ ว่านายเบนจามินประกอบธุรกิจอะไรอย่างไรหรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับนายเลียก ยิม
ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นนอมินีเชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเชีย ไซรัส (Finansia Syrus: FSS) ผ่าน Pilgrim Finansa ในปี พ.ศ. 2564 นายวรภัค กล่าวว่า ตนและนายช่วงชัย นะวงศ์ ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Pilgrim Finansa ถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วนตน 60% และนายช่วงชัย 40% ก็เพื่อเข้าซื้อหุ้น 29% ของบริษัทหลักทรัพย์พินันเซีย ไซรัส (FSS) โดยการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า Management Buy Out อีกนัยหนึ่งคือผู้บริหารที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการของบริษัท ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกประการ
“ธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นี้เป็นเรื่องปกติ ถ้าธนาคารหรือผู้กู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นำมาเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 29% ซึ่งถือว่าเป็น Controling stake ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดขณะนั้นเป็นอันดับสองของประเทศ“
โดยในการซื้อหุ้นในครั้งนั้น ได้รับวงเงินสนับสนุนเพื่อซื้อหุ้นและส่วนที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) จาก 2 ส่วน ได้แก่
1. เงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment (CAI) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุน ภายใต้การกำกับดูแลของ MAS ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล
2. จาก BIC Bank Lao ธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ "Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd." และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว เพื่อเตรียมการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น
ทั้งนี้ วงเงินจาก BIC Laos เป็น standby facility เพื่อทำ tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
นายวรภัค ชี้แจงว่า BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีตถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้นไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้น ความเป็นเจ้าของและการบริหาร จัดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้วเป็นธุรกิจธนาคารที่คอนขางอยูตัวแลว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdings 99% และนายเลียก ยิม 1%
นายวรภัค กล่าวต่อว่า หลังจากได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์พินันเซีย ในปี พ.ศ. 2564 ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัทโดยจ้าง MCKinsey & Co. เป็นที่ปรึกษาเพื่อทำ Digital Transformation พัฒนาให้เป็นองค์กรดิจิตัล
อย่างไรก็ตามการปรับปรุงองค์กรไม่เร็วอย่างที่คาด จึงทำให้ปลายปี พ.ศ. 2567 ตนได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับนายช่วงชัย และลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท หลังจากนั้นตนไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ ในการถือหุ้นหรือในการบริหารบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียอีก ดังนั้นการดำเนินการซื้อขายหุ้นหรือมีการเพิ่มทุนหลังจากนั้นตนจึงไม่ได้ติดตามข่าวอีก
นายวรภัค กล่าวว่า การที่บุคคลใดจะนำชื่อของตนในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง ดังนั้น การคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จว่าตนเป็นนอมินี หรือเป็นฟันเพื่องสำคัญของกระบวนการสแกมเมอร์ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกระผมล่าสุด ยังได้เหิมเกริม ใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยา ว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโตจำนวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
"ขอยืนยันว่าภรรยาของผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆ ทั้งสิ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย"
นายวรภัค กล่าวต่อว่า ผมมีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใสตรวจสอบได้มาตลอด 30 ปีในแวดวงการเงินระดับสากลทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทยและปัจจุบันทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้วยความซื่อสัตย์สุจริตข้าราชการกระทรวงการคลังที่มีมีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่า 1 ปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งในปัจจุบันจะสามารถยืนยันได้ว่าผมทำงานอย่างไร
ทั้งนี้ ได้ปรึกษากับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แล้วและให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจ ยืนยันว่า ไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาล และการตัดสินใจใช้เวลาไม่นาน
“เรื่องลาออก ผมเพิ่งคิดได้ไม่นาน แต่ได้มีการเกริ่นไปยังนายกรัฐมนตรีบ้างแล้ว และแจ้งให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยจะยื่นหนังสือลาออกในวันนี้ และยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เพื่อต้องการให้การตรวจสอบมีอิสระ และหากอยู่อาจกระทบการทำงานของรัฐบาลที่จำกัดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาผมไม่มีความทะเยอทะยานในตำแหน่งทางการเมือง แต่ที่เข้ามาเพราะอยากเข้ามาใช้ความรู้ช่วยเหลือประเทศชาติ จริงๆ”
นายวรภัค กล่าวว่า หลังจากยื่นหนังสือลาออกแล้ว ตนจะได้มีโอกาสรวบรวมข้อมูลเท็จจริงไว้ต่อสู้ และจะมีการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือน และเผยแพร่ข้อมูลเท็จทำให้ตนและภรรยาเสียชื่อเสียง โดยเฉพาะนายทอม ไรซ์ จะถูกฟ้องเป็นคนแรก รวมถึงคนที่นำข้อมูลเท็จมาเผยแพร่ด้วย







