มะพร้าวน้ำหอมไทย วิกฤติ ราคาตกต่ำ หลังเวียดนามแย่งตลาดจีน สูญเงินกว่า500 ล้านบาท

ชาวบ้านร้อง “รัฐบาลลอยแพ” วิกฤติราคามะพร้าวน้ำหอมไทยต่ำกว่าต้นทุนเท่าตัว ขณะที่เวียดนามกำลังตีตลาด ได้เปรียบไทยทั้งระยะทางการขนส่งใกล้ ผลผลิตมากกว่า ขณะไทยยังมีจุดอ่อนด้านคุณภาพ ไม่สม่ำเสมอ
ธัชธาวินท์ สะรุโณ นักวิชาการอิสระ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการผลิตพืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมการส่งเสริมมะพร้าวน้ำหอมสงขลา เปิดเผยว่า ราคามะพร้าวน้ำหอมที่สวนเกษตรกร สงขลา ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2568 ราคา 2-3 บาทต่อผล ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำเกินไป และในบางพื้นที่ผู้ประกอบการไม่มีรับซื้อ ปล่อยให้มะพร้าวแก่คาต้น ซึ่งปริมาณผลผลิตมะพร้าวน้ำหอมไทยปีละ 500 ล้านผล (3,000 ผลต่อไร่) ทำให้เงินขาดไป 500 ล้านบาททุก ๆ ราคา ที่ลดลง 1 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตในสวนเกษตรกร 4-5 บาทต่อผล ในขณะที่มูลค่าส่งออกหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
ห่วงโซ่มะพร้าวน้ำหอมสงขลาและจังหวัดต่าง ๆ ️จากสวนเกษตรกจะส่งให้ล้งรวบรวม ประมาณ 80%ของผลผลิต ️ ส่งต่อไปภาคกลางเพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรม ที่เหลือ 20 % จะส่งไปตลาดท่องเที่ยวและการบริโภคสดในพื้นที่ ️ผลผลิตจากโรงงานภาคกลางส่วนใหญ่ ถูกแปรรูปส่งประเทศจีนเป็นอันดับหนึ่ง สหรัฐอเมริกา อื่น ๆและขายในประเทศ ในรูปน้ำมะพร้าว มะพร้าวผลสด ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
ขณะที่เกษตรกรรายย่อยไทยประสบปัญหาวิกฤติราคามะพร้าวน้ำหอมตกต่ำ แต่เวียดนามกำลังเป็นดาวรุ่งค้าขายกับจีน การบรรลุข้อตกลง (The Protocol): ในช่วงปี 2024 เวียดนามประสบความสำเร็จในการเจรจากับจีน และได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการให้สามารถส่งออก “มะพร้าวผลสด” (Fresh Coconuts) ไปยังประเทศจีนได้ ️ การส่งออกล็อตใหญ่ๆ และการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพิ่งเกิดขึ้นอย่างจริงจังในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ราคามะพร้าวไทยเริ่มดิ่งลงหนัก
“ตลาดจีนซึ่งมีความต้องการมะพร้าวน้ำหอมสูงมาก และเคยเป็นผู้ซื้อหลักของไทย ได้หันไปนำเข้าจากเวียดนามเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สื่อในเวียดนามรายงานว่าการส่งออกมะพร้าว ทั้งสดและแปรรูป ไปจีน ขยายตัวหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในปี 2025”
มาดูมะพร้าวไทย กับ เวียดนาม
ส่วนที่ 1: ภูมิทัศน์ตลาดมะพร้าวโลก
ภาพรวมเชิงข้อมูลตลาดมะพร้าวโลกกำลังอยู่ในช่วงของการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลการคาดการณ์ในอดีตโดย Zenith ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ ได้ประเมินว่าตลาดน้ำมะพร้าวเพียงอย่างเดียวจะเติบโตในอัตราสูงถึง 26.8% และมีมูลค่าถึง 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2020 การคาดการณ์ดังกล่าวได้สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของตลาดได้เป็นอย่างดี
เมื่อพิจารณาภาพรวมของตลาดมะพร้าวทั้งหมดในปัจจุบัน ข้อมูลการวิเคราะห์ล่าสุดยิ่งตอกย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีการประเมินว่ามูลค่าตลาดมะพร้าวโดยรวมอยู่ที่ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าสูงถึง 8.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2032 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 9.9% นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ที่มองไปไกลกว่านั้นว่ามูลค่าตลาดอาจพุ่งสูงถึง 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ตลาดที่มีศักยภาพในการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภคในพื้นที่ดังกล่าวยังคงมีความนิยมในการบริโภคมะพร้าวสดและผลิตภัณฑ์มะพร้าวบรรจุกระป๋องในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกซึ่งเป็นทั้งแหล่งผลิตและส่งออกมะพร้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก คาดว่าจะกลายเป็นตลาดที่มีอิทธิพลสูงสุดในอนาคต
ปัจจัยขับเคลื่อนอุปสงค์โลก: จากสถานะ “ซูปเปอร์ฟู้ด” สู่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์
ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ความต้องการมะพร้าวเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกมีรากฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของผู้บริโภคและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ปรากฏการณ์ “ซูปเปอร์ฟู้ด” (Superfood) ตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการที่มะพร้าวถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “ซูปเปอร์ฟู้ด” ในแวดวงสุขภาพและความงามระดับโลก กระแสนิยมนี้ได้ยกระดับคุณค่าของมะพร้าวในสายตาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างมหาศาล ข้อมูลการวิจัยจาก Mintel ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านผลิตภัณฑ์และการตลาด ชี้ให้เห็นว่าในช่วงปี 2011 ถึง 2015 มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มใหม่ที่ใช้คำว่า “ซูปเปอร์ฟู้ด” ในการทำการตลาดเพิ่มขึ้นถึง 202% ซึ่งมะพร้าวเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกระแสดังกล่าว
นอกจากนี้ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในตลาดหลัก อุปสงค์ยังถูกขับเคลื่อนด้วยการประยุกต์ใช้มะพร้าวในรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือกระแสในประเทศจีนที่เริ่มขึ้นราวปี 2021 ซึ่งมีการนำน้ำมะพร้าวไปผสมกับกาแฟจนกลายเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายและมียอดขายสูงมาก นวัตกรรมนี้ได้เปิดตลาดกลุ่มผู้บริโภคใหม่ขนาดมหึมา การขยายขอบเขตการใช้งาน นอกเหนือจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ความต้องการมะพร้าวยังขยายไปสู่การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง เชื้อเพลิงชีวภาพ และวัสดุอุตสาหกรรมต่างๆ การใช้งานที่หลากหลายนี้ช่วยสร้างตลาดที่มีความยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพให้กับผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
อิทธิพลของสุขภาพ ความยั่งยืน และกระแสออร์แกนิก พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยด้านสุขภาพและความยั่งยืนเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจซื้อ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมมะพร้าว ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้นและมองหาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีไขมันต่ำและอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งมะพร้าวอ่อนและผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวสามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ กระแสความนิยมในผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้สร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตต้องปรับตัวเข้าสู่แนวทางการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในประเด็นนี้ เวียดนามมีความได้เปรียบอยู่ส่วนหนึ่ง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกมะพร้าวประมาณหนึ่งในสามของประเทศได้ผ่านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปแล้ว
ส่วนที่ 2: การผงาดขึ้นของเวียดนามในฐานะมหาอำนาจมะพร้าวโลก
กายวิภาคของการเติบโตแบบก้าวกระโดด: กำลังการผลิต ปริมาณส่งออก และเส้นทางสู่มูลค่าพันล้าน ขนาดการผลิต เวียดนามเป็นผู้ผลิตมะพร้าวรายใหญ่อันดับ 7 ของโลก มีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 200,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 1.25 ล้านไร่) และให้ผลผลิตราว 2 ล้านตันต่อปี แหล่งเพาะปลูกหลักอยู่ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยมีจังหวัดเบ๊นแจ (Bến Tre) เป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงมะพร้าว” ของประเทศ
การเติบโตของมูลค่าการส่งออก การเติบโตของอุตสาหกรรมมะพร้าวเวียดนามเป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่าการส่งออกพุ่งสูงขึ้นจาก 180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2010 มาอยู่ที่กว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าในปี 2024 มูลค่าการส่งออกจะทะลุหลัก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยอาจมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
การเปลี่ยนผ่านสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม
สิ่งที่น่าสนใจคือโครงสร้างการส่งออกของเวียดนามได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงยุทธศาสตร์ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง แม้ว่าการส่งออกมะพร้าวสดจะมีความสำคัญ โดยคาดว่าจะมีมูลค่า 390 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2025 แต่รายได้ส่วนใหญ่กลับมาจากผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าเกือบ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมจากการเป็นเพียงผู้ผลิตวัตถุดิบไปสู่การเป็นผู้แปรรูปสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง
การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านนี้ได้รับการสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของโรงงานแปรรูป ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 8 แห่งในปี 2015 เป็น 45 แห่งในปี 2024 และมีโรงงานแปรรูปโดยรวมกว่า 250 แห่ง โดยในจำนวนนี้มี 80 แห่งที่มุ่งเน้นการแปรรูปเชิงลึก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการวางแผนเชิงอุตสาหกรรมที่ชัดเจน
นโยบายรัฐบาล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเปิดตลาด
การสนับสนุนจากภาครัฐ รัฐบาลเวียดนาม ได้กำหนดให้มะพร้าวเป็นหนึ่งใน 6 พืชอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ควบคู่ไปกับพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ เช่น กาแฟ ยางพารา และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ การจัดลำดับความสำคัญนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทระดับชาติที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับภาคเกษตรกรรม
การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ มีการออกแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ (Decision 431/2024/QĐ-BNN-TT) ที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาระดับพื้นที่เพาะปลูกไว้ที่ 200,000 เฮกตาร์ และมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้จากมะพร้าวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
การเจาะตลาดเชิงรุก เวียดนามประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเจรจาเปิดตลาดส่งออกอย่างเป็นทางการกับตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตลาดสหรัฐอเมริกาสำหรับมะพร้าวสดได้เปิดทำการในเดือนสิงหาคม 2023 ตามมาด้วยตลาดจีนที่สำคัญยิ่งกว่าในเดือนสิงหาคม 2024 ชัยชนะทางการทูตและการค้านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของยุทธศาสตร์การส่งออก ทำให้เวียดนามมีช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมายในการเข้าไปท้าทายผู้เล่นเดิมอย่างประเทศไทยโดยตรง
การประเมินความได้เปรียบทางการแข่งขัน: พลังของขนาด ราคา และความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์
ความสามารถในการแข่งขันด้านราคา เวียดนามมีความได้เปรียบในด้าน ราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างยิ่งในตลาดโลกที่มีการแข่งขันสูง ปัจจัยด้านราคาทำให้เวียดนามสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสำหรับตลาดมวลชน (Mass Market)
ปริมาณการผลิตที่สูง ด้วยปริมาณผลผลิตที่สูงถึง 2 ล้านตันต่อปี ทำให้เวียดนามมีศักยภาพในการเป็นแหล่งจัดหาวัตถุดิบที่มั่นคงและเพียงพอสำหรับผู้ซื้อรายใหญ่ในตลาดโลก
️ความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์สู่ตลาดจีน ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามที่อยู่ใกล้กับประเทศจีนถือเป็นความได้เปรียบที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างไทย ทำให้มีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำกว่าและใช้ระยะเวลาในการจัดส่งสั้น
ความท้าทายและจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง: การจัดการความไม่สม่ำเสมอของคุณภาพและสายพันธุ์
การขาดการวางแผนและสายพันธุ์ที่ไม่สม่ำเสมอ จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมมะพร้าวเวียดนามคือการขาดการวางแผนพื้นที่เพาะปลูกอย่างเป็นระบบ การเพาะปลูกส่วนใหญ่เป็นไปตามความสมัครใจของเกษตรกรแต่ละราย ซึ่งมักจะปลูกมะพร้าวหลากหลายสายพันธุ์ปะปนกันไป เช่น มะพร้าวสยาม มะพร้าวไฟ หรือมะพร้าวน้ำตาล
ปัญหาการควบคุมคุณภาพ ความไม่สม่ำเสมอของสายพันธุ์นี้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่สำหรับผู้ส่งออก เนื่องจากสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์เดียวกันอาจมีมะพร้าว 2-3 สายพันธุ์ปนกัน ซึ่งส่งผลให้รสชาติ เนื้อสัมผัส และกลิ่นมีความแตกต่างกัน สิ่งนี้ “ลดทอนความสามารถในการแข่งขันของมะพร้าวสดเวียดนามในตลาดโลก” โดยตรง และทำให้การตอบสนองต่อคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ที่ต้องการสินค้าที่มีมาตรฐานสม่ำเสมอเป็นไปได้ยาก
ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน แม้จะมีผลผลิตจำนวนมหาศาล แต่ปริมาณผลผลิตในประเทศของเวียดนามกลับเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมแปรรูปที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หลักฐานคือเวียดนามต้องเพิ่มการนำเข้ามะพร้าวจาก อินโดนีเซีย ฟิลิบปินส์
สำหรับ ผลการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร(ตามที่ตั้งแปลง) ปี2567 กรมส่งเสริมการเกษตร รายงานว่า ไทยมีการปลูกมะพร้าวอ่อน 36,849 ครัวเรือน 168,878.73 ไร่ มีจังหวัดที่ปลูกเกิน 5 พันไร่ ได้แก่ ราชบุรี 52,377.59 ไร่ สมุทรสาคร 31,169.45 ไร่ นครปฐม 13,299.57 ไร่ สงขลา 8,960.76 ไร่ สมุทรสงคราม 8,296.19 ไร่ ฉะเชิงเทรา 7,622.32 ไร่ ประจวบคีรีขันธ์ 7,223.23 ไร่ และ นครศรีธรรมราช 5,414.64 ไร่







