'ปลาบัตเตอร์ –มายัน' อีก 2 ภัยเงียบในสายน้ำ ที่ยังรุกรานระบบนิเวศไทย

ขณะที่ทุกสายตาพุ่งเป้าไปที่ “ปลาหมอคางดำ” คือผู้รุกรานแห่งสายน้ำ ยังมี “ปลาหมอบัตเตอร์” และ “ปลาหมอมายัน” ที่เป็นภัยเงียบรุกคืบระบบนิเวศไทย แต่ภาครัฐ หรือแม้แต่กลุ่ม NGO ยังไม่มีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้
ย้อนกลับไปดูที่ “ปลาหมอบัตเตอร์” ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก แต่ปัจจุบันกลับพบการระบาดในหลายแหล่งน้ำของไทย โดยเฉพาะ เขื่อนสิริกิติ์ อุตรดิตถ์ และ เขื่อนศรีนครินทร์ กาญจนบุรี
กรมประมงระบุข้อมูลชัดเจนว่า ปลาชนิดนี้มีนิสัยดุร้าย กินได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ไข่ปลา ลูกปลา กระทั่งสัตว์น้ำขนาดเล็กอื่น ๆ ส่งผลให้ปลาพื้นถิ่นหลายชนิดลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “ปลาแรด” และ “ปลากราย”
ผู้อาศัยในพื้นที่ที่พบปลาดังกล่าว ให้ข้อมูลว่าการระบาดอาจมีต้นทางจากกระชังเลี้ยงปลา ที่มีผู้นำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต บางรายอ้างว่า “เลี้ยงเพื่อขายเป็นปลาสวยงาม” ก่อนที่จะหลุดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ แม้ว่าปลาหมอบัตเตอร์ จะอยู่ในรายชื่อ “สัตว์น้ำห้ามนำเข้า ส่งออก เพาะเลี้ยง” ตามกฎกระทรวงปี 2561 แต่ในทางปฏิบัติ การกลับไม่มีการบังคับที่เข้มแข็งเพียงพอ ทุกวันนี้จึงยังคงมีรายงานการจับปลานี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งตอกย้ำว่า ระบบควบคุมสัตว์น้ำต่างถิ่นของไทยยังมีช่องว่าง ทั้งในด้านการตรวจสอบ การอนุญาต และการกำกับการเพาะเลี้ยงจริงในพื้นที่
ส่วน “ปลาหมอมายัน” ที่มีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำแอตแลนติกตอนกลางของอเมริกากลาง อาทิ เม็กซิโก เบลีซ และฮอนดูรัส ถือเป็นปลาที่เติบโตได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีนิสัยหวงถิ่น กินลูกปลาและสัตว์ขนาดเล็ก ทำให้ระบบนิเวศในแหล่งน้ำที่ปลานี้อาศัยอยู่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
รายงานล่าสุดของกรมประมง เผยว่าพบปลาหมอมายันในหลายจังหวัดภาคกลางและภาคใต้ เช่น สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยเฉพาะในแหล่งน้ำเชื่อมต่อทะเล ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของชนิดพันธุ์
ถึงแม้จะไม่มีความชัดเจนว่าปลาชนิดนี้เข้ามาในไทยได้อย่างไร แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าเกิดจากการลักลอบนำเข้ามาเลี้ยงในระบบปลาสวยงาม หรือหลุดจากฟาร์มเพาะเลี้ยงทดลอง เพราะไม่มีข้อมูลการขออนุญาตนำเข้าตามระบบของกรมประมง พูดง่ายๆคือมันไม่เคยมีอยู่ในบัญชี “ปลานำเข้าอย่างถูกต้อง” แต่กลับพบในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย
หากนำปลาทั้ง 2 ชนิด มาเทียบเคียงกับกรณีปลาหมอคางดำ ที่มีรายงานและการติดตามตรวจสอบจนเป็นประเด็นในสังคม การระบาดของปลาหมอบัตเตอร์และปลาหมอมายัน กลับถูกปล่อยให้ดำเนินไปโดยไม่มีใครตั้งคำถาม ทั้งที่มีลักษณะ “รุกราน” ไม่ต่างกัน
แล้วเหตุใด NGO และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับปลาหมอคางดำ จึงไม่หันมาสนใจต้นตอของปลาสองชนิดนี้ เหตุไฉนการลักลอบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำห้ามนำเข้า จึงยังเกิดขึ้นซ้ำๆ ทั้งที่มีบทลงโทษชัดเจน และมีคำถามตัวโตๆว่า ภาครัฐมีระบบตรวจสอบจริงจังเพียงใดต่อ “โครงการที่ได้รับอนุญาต” หรือการ “ส่งออกสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยง”
หากยังไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เชื่อว่าปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นในไทยก็จะไม่มีวันสิ้นสุด เพราะยังมองไม่เห็นภาพรวมของระบบควบคุมทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จากการลักลอบนำเข้า การเพาะเลี้ยง ไปจนถึงการส่งออกหรือหลุดสู่ธรรมชาติ
“ปลาหมอบัตเตอร์” และ “ปลาหมอมายัน” อาจยังไม่เป็นข่าวใหญ่เท่าปลาหมอคางดำ และยังไม่ใช่ตัวร้ายในพาดหัวข่าว แต่คือ “ภัยเงียบ” ที่ค่อย ๆ กลืนกินชีวิตปลาพื้นถิ่นในสายน้ำไทย เปรียบเหมือน “ระเบิดเวลา” ที่อาจสร้างผลกระทบร้ายแรงยิ่งกว่า เนื่องจากมีความสามารถในการปรับตัวสูง แพร่พันธุ์รวดเร็ว และกินได้แทบทุกอย่าง
ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหาและมองให้รอบด้าน เลิกพุ่งเป้าเพียงปลาหมอคางดำ แต่ต้องเลือกมองปัญหาให้รอบด้าน เพราะหากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง การเพิกเฉยในวันนี้ อาจกลายเป็นความสูญเสียของระบบนิเวศน้ำไทยในวันหน้า
บทความโดย : พศิน ชลชาติ ผู้ชำนาญการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ







