วรภัค แจง รู้จัก เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกัน ปฏิเสธเป็นบอร์ด BIC Bank

วรภัค แจงปมรู้จัก เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เพราะลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเดียวกันปัดไม่ได้เป็นที่ปรึกษาหรือบอร์ด BIC Group กัมพูชา
วันนี้ (22 ต.ค.68) นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นัดสื่อแถลงข่าว ที่ห้องประชุม 401 อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจง ถึงกรณีที่ถูกพาดพิง ว่าไปเอี่ยวขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ก่อนที่จะมีการแถลงลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง โดยตอนหนึ่งนายวรภัคได้ชี้แจงถึงความสัมพันธ์กับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) ว่ารู้จัก เพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกันที่เมืองไทย ซึ่งเข้าใจว่าเค้าอยู่ไทยมา 20 ปี ลูกเรียนชั้นเดียวกัน วัยเดียวกัน รู้จักกันในฐานะผู้ปกครอง ลูกเป็นเพื่อนกัน เรียนชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน จนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่เคยทราบลึกๆ ว่ามีธุรกิจอะไรยังไง กับมิสเตอร์ยิ้ม เลียก พร้อมย้ำว่าผมไม่สนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายใดๆ หรือผู้ที่ทำธุรกรรมผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น และตนเองไม่เคยเป็นที่ปรึกษาหรือกรรมการใดๆใน BIC Bank ในกัมพูชา ไม่เคยได้รับเงิน และผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น การที่เขาเอารูป และชื่อของผมไปลงนั้นผมไม่เคยทราบมาก่อน แต่พอมีคนบอกผมเข้าไปดูก็ไม่เคยเห็นแล้ว
ต่อมาได้ชี้แจง กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวแทน หรือโนมินิ เชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส ผ่าน Pilgrim Finansa
โดยในปี พ.ศ.2564 ตนได้เข้าซื้อหุ้น 29% ของ บริษัทหลักทรัพย์ที่มันเชีย ไซรัส เป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. ทุกประการ ซึ่งเป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out อีกนัย
หนึ่งก็คือ ผู้บริหารที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการของบริษัทนั้นๆ ซึ่งคือตนเอง และ นายช่วงชัย เห็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาเหมาะสม เพื่อมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทเติบโต และมีกำไรสูงขึ้น เพื่อราคาหุ้นที่ดีขึ้น และมีผู้สนับสนุนทางการเงิน มองเห็นว่าหุ้นที่ซื้อมาราคาไม่แพง มีโอกาสเติบโตได้ คุ้มกับความเสี่ยง ในการสนับสนุนทางการเงิน ซึ่งธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้น ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นี้ เป็นเรื่องปกติ ถ้าธนาคารหรือผู้กู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นำมาเป็นหลักประกัน
โดยเฉพาะหุ้น 29%ที่ซื้อมา แต่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็น controlling stake ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด เป็นอันดับสองของประเทศไทย รวมทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่าที่เป็นวาณิชธนกิจอันดับต้นของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
การซื้อหุ้นในครั้งนั้น ตนได้รับวงเงินสนับสนุนสองส่วน คือ ส่วนที่ซื้อหุ้น และส่วนที่ 2 ที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลืออีก 71% วงเงินทั้ง 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment และส่วนที่สอง จาก BIC Bank Lao ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ "Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd." และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว EDL ในที่สุดไม่มีการกู้เงิน เพราะไม่มีผู้มาขาย
ซึ่งทั้ง BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรในอดีต จึงใช้ชื่อคล้ายกัน ตนไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้นความเป็นเจ้าของ และการจัดการนั้น แยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาว และบริษัทการไฟฟ้าลาว และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdings 99% และ Mr. Yim Leak 1%
หลังจากตน และคุณช่วงชัย เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัท โดยจ้าง MCKinsey & Co. เป็นที่ปรีกษา ทำ digital transformation จนผ่านไป 3 ปี ปลายปี 2567 ก็ขายหุ้นให้ช่วงชัย หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ ในการถือหุ้น หรือในการบริหาร
ส่วนคุณช่วงชัย จะขายหุ้นให้ใคร หรือมีการเพิ่มทุนอีก ตนก็ได้ติดตามข่าว ซึ่งการที่บุคคลใดจะนำชื่อของตนในอดีต ไปเชื่อมโยงกับบุคคล หรือเครือข่ายใดในภายหลัง แต่ดูจากโครงสร้างปัจจุบันมีการเพิ่มทุน ทำให้หุ้นเดิม 29% หลุดไปเหลือ 17%
การคาดเดาอ้าง ว่าตนเป็น Nominee หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของ scammer ถือเป็น การใส่ร้ายป้ายสี และบิดเบือนข้อเท็จ
ทั้งนี้ ล่าสุด ยังได้เหิมเกริม ใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยาของตน ว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโทเคอร์เรนซีจำนวนหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอยืนยันว่า ภรรยาของตนไม่เคยมีบัญชีคริปโทเคอร์เรนซีใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งในอดีต และปัจจุบัน และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย
ย้ำว่า ตอนนี้เขาไปซื้อหุ้นฟินันเซีย ตนซื้อเพราะเข้าใจว่าธุรกิจเป็นอย่างไร และ 29% ใช้เงินไม่เกิน 700 ล้านบาทได้ควบคุมบริษัทที่ในอดีตเคยทำเงินได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งดูแล้วคุ้มจึงจับมือกับช่วงชัย
เพราะฉะนั้นขอปฏิเสธข้อกล่าวร้ายป้ายสีว่า ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวกับกระบวนการสแกมเมอร์ใดๆ ประวัติการทำงานไม่เคยเฉี่ยวไปแม้แต่นิดเดียว สามารถตรวจสอบได้
ปัจจุบันตนรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
หลังจากนี้ ตนขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือน และเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ทำให้เสียชื่อเสียง และพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ตนเองใช้เบอร์มือถือเบอร์เดียวมาตลอด ไม่มีความลับ ใช้เครดิตการ์ดใบเดียว บัญชีก็ใช้ของกรุงไทยเป็นหลัก ตนเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม และจะยืนหยัดในความจริง เพื่อปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคล และเกียรติของตำแหน่งทางการเมืองที่ได้รับมอบหมาย
และยืนยันว่า จะไม่ขอ และจะไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริต ฉ้อโกง หรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติใดๆ ชีวิตการทำงานกว่า 30 ปีของตน อยู่บนหลักความสุจริต โปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคมตลอดมา
ท้ายสุด ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นขับเคลื่อน ภารกิจด้านเศรษฐกิจ และการคลังของประเทศไทยเดินหน้าอย่างเต็มกำลังภายใต้ข้อจำกัดของเวลาที่รัฐบาลมีค่อนข้างน้อย และความคาดหวังของประชาชนที่มีสูง ตนเจอนายกฯ อนุทิน ทีไรก็จะบอกตนเองกับนายเอกนิติ ว่าให้ไปลงที่ชาวบ้านบ้าง เวลาเห็นหน้าชาวบ้านเราจะรู้สึกมี sense of responsibility มากขึ้น เป็นคำพูดที่ฟังแล้วขนลุก ว่าเวลาท่านเจอชาวบ้าน รู้สึกต้องมีความรับผิดชอบที่ดูแลประชาชน นี่จะเป็นสาเหตุที่อยากทุ่มเทเวลา
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีเวลามาจัดการเรื่องส่วนตัว เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องขับเคลื่อน แต่อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อมูลเท็จ ตนจำเป็นต้องใช้เวลาและพลังเยอะ ในการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ไม่หวังดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภารกิจหลักของตนในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการคลังให้บรรลุผล
”ผมไตร่ตรองอยู่นาน และตัดสินใจว่า ผมจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้เรื่องส่วนบุคคลของผม กลายเป็นภาระหรือเงื่อนไข ที่อาจกระทบต่อ ความคล่องตัว และประสิทธิภาพของรัฐบาล การตัดสินใจครั้งนี้เป้าหมายสำคัญเพื่อยืนหยัด หลักความโปร่งใส และรักษาความเป็นอิสระของรัฐบาลในการบริหารประเทศให้ปราศจากข้อครหา และไม่เปิดช่องให้ฝ่ายใด ใช้เรื่องส่วนตัวของผมมาเป็นอุปสรรคต่อภารกิจของรัฐบาล ผมเชื่อมั่นว่าความโปร่งใส ความเป็นมืออาชีพ และความมุ่งมั่นของรัฐบาลจะช่วยให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนได้อย่างมั่นคง และต่อเนื่องในเวลาที่จำกัด”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







