ด่วน! วรภัค ประกาศลาออก รมช.คลัง แม้ยันไม่เกี่ยวสแกมเมอร์ข้ามชาติ

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง “วรภัค” ประกาศลาออกเปิดทางให้มีการตรวจสอบเรื่อง สแกมเมอร์เมอร์ข้ามชาติ ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวที่กระทรวงการคลัง ว่าตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง ในรัฐบาล แม้จะยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ข้ามชาติใดๆทั้งสิ้น
"ผมตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรมช.คลัง เพราะไม่ต้องการให้เรื่องส่วนบุคคลส่วนตัวของผมกลายเป็นภาระ หรือเงื่อนไขที่อาจกระทบต่อความคล่องตัวและประสิทธิภาพของรัฐบาล การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อยืนหยัดหลักความโปร่งใสและอิสระของรัฐบาลในการบริหารประเทศให้ปราศจากข้อครหา ไม่เปิดช่องให้ฝ่ายใดนำเรื่องส่วนตัวของผมไปเป็นอุปสรรคต่อภารกิจของรัฐบาล
ผมเชื่อมั่นว่าความโปร่งใสความเป็นมืออาชีพและความมุ่งมั่นของรัฐบาลจะจะช่วยให้ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในเวลาที่จำกัด” นายวรภัคกล่าว
ทั้งนี้ วรภัค ธันยาวงษ์ เริ่มเข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2568 นับถึงวันนี้ (22 ต.ค.2568) รวมแล้วเป็น 33 วัน ที่ดำรงตำแหน่งรมช.คลัง
ทั้งนี้ ก่อนมีการแถลงนายวรภัคได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Vorapak Tanyawong" ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นความพยายามของ "ขบวนการถ่วงความเจริญของประเทศชาติ" ที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล โดยยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะข้อกล่าวหาล่าสุดที่พาดพิงถึงภรรยา ว่ารับสินบนเป็นสกุลเงินดิจิทัล (คริปโท) ซึ่งนายวรภัค ยืนยันว่า
“ภรรยาผมยังไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรใดๆ ไม่เคยมีบัญชีคริปโทเคอร์เรนซีใดๆ ทั้งสิ้น”
นายวรภัค กล่าวชี้แจงถึงกรณีการที่บุคคลใดนำชื่อของตนในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง โดยการคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่อง เป็นนอมินี หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของสแกมเมอร์ ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง และขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกได้เหิมเกริมไปถึงภรรยาว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโทจำนวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
"ขอยืนยันว่า ภรรยาของกระผมไม่เคยมีบัญชีคริปโทใดๆ ทั้งสิ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย"
พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหา ใส่ร้าย ป้ายสี ทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า ไม่เคย มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมี ผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่เกี่ยวข้องกับ สแกมเมอร์กัมพูชา หรือกระบวนการต้มตุ๋น หลอกลวง ธุรกิจผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
นายวรภัค ยอมรับว่า รู้จักกับ Mr.Benjamin จริง เนื่องจากลูกของทั้งสองฝ่ายเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่ทราบว่า Mr.Benjamin ประกอบธุรกิจอะไร หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์หรือไม่
ส่วน Mr.Leak Yim เป็นประธานกรรมการของธนาคาร BIC Bank ของกัมพูชา ซึ่งถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการต้มตุ๋นนั้น เป็นการรู้จักและให้คำปรึกษด้านธุรกิจด้วยวาจา โดยไม่ได้รับเงิน หรือผลประโยชน์ใดๆ และยืนยันว่าตนไม่เคยเป็นกรรมการบริหารของธนาคารนี้ ตามที่ปรากฏในข่าวว่ามีรูปของตนเองเป็นผู้บริหารในเว็บไซต์ของธนาคาร
ซึ่งหลังจากที่มีการเผยแพร่บทความของ Tom Wright ที่อ้างว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์กัมพูชา และภรรยาได้รับผลประโยชน์จากคริปโต ตนยังไม่ได้มีการติดต่อและพูดคุยกับ Mr.Benjamin และ Mr.Leak Yim
นายวรภัค กล่าวถึงการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งว่า ตนเพิ่งคิดได้ไม่นาน แต่ได้มีการเกริ่นไปยังนายกรัฐมนตรีบ้างแล้ว และแจ้งให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยจะยื่นหนังสือลาออกในวันนี้ และยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้กระบวนการตรวจสอบมีอิสระโดยไม่ได้รับความกดดันจากตำแหน่งทางการเมืองและหากตนยังอยู่อาจกระทบการทำงานของรัฐบาลที่อยู่อย่างจำกัดด้วย
"ที่ผ่านมาผมไม่มีความทะเยอทะยานในตำแหน่งทางการเมือง แต่ที่เข้ามาเพราะอยากเข้ามาใช้ความรู้ช่วยเหลือประเทศชาติจริงๆ และเห็นว่าหลายอย่างแทบจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย”
โดยหลังจากนี้ จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะ Tom Wright และผู้ที่นำบทความดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองและภรรยาที่ถูกใส่ร้ายว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโต
“ผมมีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใสตรวจสอบได้มาตลอด 30 ปีในแวดวงการเงินระดับสากลทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทยและปัจจุบันทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้วยความซื่อสัตย์สุจริตข้าราชการกระทรวงการคลังที่มีมีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่า 1 ปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งในปัจจุบันจะสามารถยืนยันได้ว่าผมทำงานอย่างไร”
โดยนายวรภัค กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และประชาชนทุกคนที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการทำงานของผมตลอดมา จะยังคงยืนหยัดในหลักนิติธรรม และทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่รักและปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างเต็มกำลังต่อไป







