ถอดรหัส ‘ความเหลื่อมล้ำ’ไทย เร่งแก้เงื่อนไขฉุดรั้งพัฒนาเศรษฐกิจ

ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยมีระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและประเทศพัฒนาแล้ว ข้อมูลชี้ว่ากลุ่มประชากรรายได้สูงสุด 10% มีรายจ่ายมากกว่ากลุ่มรายได้ต่ำสุดถึง 7.83 เท่า และมีสัดส่วนรายได้สูงกว่ากลุ่มรายได้ต่ำสุด 50% ถึง 4.41 เท่า สาเหตุสำคัญมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ระบบราชการที่ล้าสมัย และขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่
KEY
POINTS
- ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยมีระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและประเทศพัฒนาแล้ว
- ข้อมูลชี้ว่ากลุ่มประชากรรายได้สูงสุด 10% มีรายจ่ายมากกว่ากลุ่มรายได้ต่ำสุดถึง 7.83 เท่า และมีสัดส่วนรายได้สูงกว่ากลุ่มรายได้ต่ำสุด 50% ถึง 4.41 เท่า
- สาเหตุสำคัญมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ระบบราชการที่ล้าสมัย และขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่ ซึ่งกระทบต่อประสิทธิภาพนโยบายกระจายรายได้
- แนวทางแก้ไขที่สำคัญคือการปฏิรูประบบราชการและระบบภาษี การลงทุนด้านการศึกษาและสวัสดิการที่มีคุณภาพ และการนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบ
ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาโครงสร้างบนระบบเศรษฐกิจมาต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาประเทศสามารถลดสัดส่วนประชากรที่อยู่ในสภาวะยากจนได้ แต่ระดับความเหลื่อมล้ำในหลายด้านยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้ยั่งยืน เมื่อพิจารณาภาพรวมของการกระจายรายได้และการเข้าถึงบริการพื้นฐาน และการทำงานของระบบราชการที่ไม่ทันต่อยุคสมัย จะไทยปรากฏว่าอยู่ในตำแหน่งที่น่าวิตกกังวล เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศพัฒนาแล้ว
นายวิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าปัจจุบันปัญความเหลื่อมล้ำถือว่าเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในการฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่วนสำคัญของปัญหาคือ ระบบราชการจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับพลวัตใหม่และสามารถเป็นผู้นำในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำและการจัดสวัสดิการประชาชนอย่างครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ และการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืน
ความเหลื่อมล้ำไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาค
รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยฉบับล่าสุดที่จัดทำโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาสะท้อนสถานการณ์ที่ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำที่เกินกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
ทั้งนี้แม้ว่าในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำด้านรายจ่ายของไทยอยู่ในระดับทรงตัว คือค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ 0.335 มาเหลือ 0.333 ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียด ข้อมูลแสดงว่าความแตกต่างเรื่องของรายจ่ายระหว่างครัวเรือนรายได้สูงกับครัวเรือนรายได้น้อยมีความแตกต่างในหลายมิติ โดยในเขตเทศบาล ความเหลื่อมล้ำมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย
ขณะที่นอกเขตเทศบาลกำลังเพิ่มขึ้น โดยเขตเทศบาลยังคงแสดงระดับความรุนแรงที่สูงกว่า ในมิติภูมิภาค ภาคใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุด ขณะที่กรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ และภาคกลางแสดงเส้นโค้งระดับความเหลื่อมล้ำที่ลดลง
ข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อประชากรมากที่สุดอยู่ที่ส่วนแบ่งรายจ่ายของประชากร โดยกลุ่มที่มีรายจ่ายสูงสุด (Decile 10) ยังคงครองส่วนแบ่งถึง 25.85% ของการใช้จ่ายทั้งหมด ในขณะที่กลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำสุด (Decile 1) ได้รับเพียง 3.30% ความแตกต่างนี้คิดเป็น 7.83 เท่า ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงขนาดของปัญหา แม้ว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาส่วนแบ่งของกลุ่มรายได้ต่ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยแสดงให้เห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำที่เกินกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค โดยข้อมูลจาก World Inequality Database ในช่วงปี 2554-2566 ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีอัตราส่วนรายได้ของกลุ่มรายได้สูงสุด 10 % ต่อกลุ่มรายได้ต่ำสุด 50 % อยู่ที่ 4.41 เท่า และมีค่า Gini เฉลี่ย 0.626
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีบริบทใกล้เคียงได้แก่ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย แม้มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าไทย แต่มีความเหลื่อมล้ำต่ำกว่าด้วยอัตราส่วนรายได้เพียง 3.04 และ 2.95 เท่า ตามลำดับ มาเลเซีย ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงกว่าไทย มีอัตราส่วนรายได้เพียง 2.14 เท่าและค่า Gini ที่ 0.495 ซึ่งแสดงถึงโครงสร้างการกระจายรายได้ที่สมดุลกว่า
“ข้อเท็จจริงนี้บ่งบอกว่า ความเหลื่อมล้ำของไทยไม่ได้เป็นเพราะฝ่ายต่อจีดีพีต่อหัวที่ต่ำ แต่เป็นผลจากปัญหาในโครงสร้างเศรษฐกิจและความไม่ประสิทธิผลของนโยบายการกระจายรายได้ของภาครัฐ”
กลุ่มพัฒนาแล้วจัดการความเหลื่อมล้ำได้ดี
นอกจากนี้การกำหนดตำแหน่งของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วเมื่อขยายขอบเขตการเปรียบเทียบไปยังประเทศพัฒนาแล้ว ตำแหน่งของไทยยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น กลุ่มประเทศนอร์ดิก เช่น นอร์เวย์และสวีเดน ถือว่ามีความเหลื่อมล้ำต่ำที่สุดในโลก โดยมีอัตราส่วนรายได้ของกลุ่ม Top 10 ต่อ Bottom 50 เฉลี่ยเพียง 1.22 เท่า และค่า Gini ที่ 0.387 และ 0.389 ตามลำดับ ผลลัพธ์นี้เป็นผลมาจากระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมและโครงสร้างภาษีก้าวหน้าที่ช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร มีความเหลื่อมล้ำสูงกว่ากลุ่มนอร์ดิก โดยมีอัตราส่วนรายได้เฉลี่ย 1.61 และ 1.83 เท่า และค่า Gini ที่ 0.451 และ 0.473 ตามลำดับ ความแตกต่างนี้เป็นเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพากลไกตลาดเสรีเป็นหลัก แม้จะมีระบบสวัสดิการสังคมก็ตาม
ส่วนกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น แม้มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง แต่กลับเผชิญความเหลื่อมล้ำมากกว่ากลุ่มนอร์ดิกและยุโรปตะวันตก โดยมีอัตราส่วนรายได้ที่ 1.82 และ 2.33 เท่า และค่า Gini ที่ 0.471 และ 0.508 ตามลำดับ ปัจจัยสำคัญมาจากการพึ่งพาเศรษฐกิจภาคเอกชนมากกว่าระบบสวัสดิการสังคม
ไทยในส่วนนี้มีตัวเลขที่ 4.41 และ 0.626 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงกว่าทั้งกลุ่ม และอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
เศรษฐกิจนอกระบบสูงเพิ่มความเหลื่อมล้ำ
ความเหลื่อมล้ำของไทยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างที่ลึกในระบบ การแก้ไขประเด็นนี้จำเป็นต้องดำเนินการในหลายด้านพร้อมกัน ซึ่งตามข้อมูลของสภาพัฒน์ให้ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจได้แก่
1.จำเป็นต้องพัฒนาระบบภาษีให้ครอบคลุมฐานความมั่งคั่งและทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเศรษฐกิจนอกระบบยังคงมีสัดส่วนสูง ซึ่งหากสามารถทำให้เป็นทางการได้ ก็จะเพิ่มฐานภาษีและรายได้ของรัฐ
2.ต้องลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการศึกษาและการจ้างงานที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงในอาชีพและคุณภาพชีวิตของแรงงาน
3.ควรศึกษาแนวทางจากประเทศกลุ่มนอร์ดิก ซึ่งสามารถรักษาความเหลื่อมล้ำให้อยู่ในระดับต่ำโดยไม่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
4.การปรับเปลี่ยนโครงสร้างสถาบัน นอกจากนโยบายเศรษฐกิจ ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยยังเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของระบบราชการ ที่ยังคงเป็นปัจจัยซึ่งชะลอและฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ระบบราชการในปัจจุบันจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากองค์กรที่มีบทบาทแบบแสดงการมีอิทธิพล ให้กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญเพื่อพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจไทยให้ทันกับพลวัตใหม่ของการเปลี่ยนแปลงโลก และสามารถเป็นผู้นำในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ และให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำและการจัดสวัสดิการประชาชนอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะด้านสุขภาพและการศึกษาได้







