อุปทานน้ำมันโลกล้นตลาด ท่ามกลางความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกหลังจากนี้มีจับตาหลายประเด็นทั้งอุปทานที่ล้นตลาด และ OPEC+ ทะยอยเพิ่มกำลังการผลิต อีกทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน รวมไปถึงความไม่สงบของตะวันออกกลาง เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงชะลอตัว ทำให้ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ
สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ช่วงนี้ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบโดยเดือน ก.ย. 2568 ราคาน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหว 65-69 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหว 61-65 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล โดยมีแรงกดดันจากการที่กลุ่ม OPEC+ ทยอยเพิ่มกำลังการผลิต รวมทั้งยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันในเดือน ต.ค. - พ.ย. 2568 คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 65-70 เหรียญฯ โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาดโลก
โดยมีปัจจัยสำคัญ คือการที่ OPEC+ มีมติเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเพื่อชดเชยส่วนอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจ โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.2568 ที่ 137,000 บาร์เรลต่อวัน และทยอยเพิ่มทุกเดือนถึงเดือน ก.ย.2569 ส่งผลให้ทั้งปี 2568 แนวโน้มอุปทานยังล้นตลาด กระทรวงพลังงานสหรัฐ ประเมินว่าไตรมาส 3 อุปทานมากกว่าอุปสงค์ 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน
สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ ตลาดน้ำมัน เผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน หลังยูเครนเพิ่มการโจมตีด้วยโดรนต่อโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของรัสเซีย ทั้งท่าเรือ Primorsk, ท่อส่ง Ust-Luga, Druzhba และโรงกลั่นสำคัญ เช่น Ryazan ซึ่งกระทบต่ออุปทานโดยตรง ด้านรัสเซียตอบโต้ด้วยการโจมตีกรุง Kyiv (เคียฟ) เพิ่มความตึงเครียดและความไม่แน่นอนของตลาดพลังงานโลก
ส่วนสถานการณ์ตะวันออกกลางแม้การสู้รบในกาซาไม่กระทบอุปทานโดยตรง แต่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่หลังอิสราเอลยกระดับปฏิบัติการโจมตีเมืองกาซาทำให้นานาชาติประณาม อีกทั้งการเจรจานิวเคลียร์สหรัฐฯ-อิหร่านยังไม่คืบหน้า โดยกลุ่มประเทศ E3 (ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร) ได้ยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อนำมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านกลับมาใช้หลังอิหร่านไม่ทำตามข้อตกลง Joint Comprehensive Plan of Action (JCPoA) โดยมาตรการคว่ำบาตรจะมีผลวันที่ 30 ก.ย. 2568
ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง ตลาดกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว แม้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed เพิ่งมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 0.25% อยู่ที่ 4.00-4.25% นับเป็นครั้งแรกในปี 2568
แต่ Fed ระบุถึงการจ้างงานที่น่าเป็นห่วงโดยอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 0.1% เทียบกับเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 4.3% สูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งทำให้ Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนตุลาคมและธันวาคม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านภูมิอากาศ โดยเฉพาะฤดูเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศ (NOAA) คาดว่าจะมีพายุ 6–10 ลูกในปี 2568 (ลดลงจาก 11 ลูกในปี 2567) หากพายุรุนแรงกว่าที่คาดอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก







