ส.อ.ท ชง ธปท. คุมธุรกรรมทองคำ-คริปโท ป้องการฟอกเงิน แก้ 'บาทแข็ง' ดันส่งออก

"ส.อ.ท.–ธปท." ผนึกแก้ “บาทแข็ง” ฉุดภาคการส่งออก จี้คุมธุรกรรมทองคำ-คริปโทเคอร์เรนซี ป้องการฟอกเงิน พร้อมดันมาตรการซอฟต์โลนช่วยเอสเอ็มอี เร่งสินค้าเมดอินไทยแลนด์พยุงเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปี
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะผู้บริหาร ว่า การพูดคุยในครั้งนี้ถือเป็น “นิมิตหมายที่ดี” ที่ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยในภาวะที่โลกผันผวนรุนแรง พร้อมลดช่องว่างการสื่อสาร และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคการเงินและภาคการผลิต
ทั้งนี้ ธปท.มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ขณะที่ ส.อ.ท.ได้สะท้อนภาพรวมอุตสาหกรรมไทย พร้อมเสนอแนวทาง 4GO (GO Digital & AI, GO Innovation, GO Global, GO Green) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจรากหญ้าและภาคการผลิต โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่า 7% เมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะที่เงินเวียดนามอ่อนค่ากว่า 3% ทำให้ช่องว่างการแข่งขันห่างกันเกือบ 10% สินค้าส่งออกไทยซึ่งมีกำไรไม่มากจึงเสียเปรียบประเทศคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด โดยรายได้จากการส่งออกคิดเป็นกว่า 60% ของ GDP
ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า GDP ประเทศไทย ปี 2569 จะโตเพียง 1.6% จากผลกระทบด้านการส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มชะลอตัวจากภาวะค่าครองชีพสูง นักท่องเที่ยวระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามกลับเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้อีก 2-3 ล้านคน
“เงินบาทแข็งเกินไป ทำให้รายได้ประเทศลดลง การแข่งขันในตลาดโลกเสียเปรียบ และยังส่งผลต่อการจ้างงาน และเศรษฐกิจในวงกว้าง” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ส.อ.ท. เสนอแนวทางให้ ธปท. และสถาบันการเงินพิจารณา “ซอฟต์โลน” ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือ SME โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีวินัยทางการเงินดี เช่น ไม่เคยค้างชำระค่าน้ำ ค่าไฟ หรือมีเครดิตชุมชนที่ดี ควรได้รับแต้มต่อในการกู้ยืม
พร้อมกันนี้เสนอให้จัดตั้ง “กองทุนเอสเอ็มอีนวัตกรรมการเงิน” โดยเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อปกติสามารถเข้ามาขอทุนสนับสนุนได้ เพราะด้วยภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ขายต้องขายแบบเครดิตแต่ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินสด ทำให้ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง การออกแบบระบบสินเชื่อแบบใหม่จึงเป็นเรื่องจำเป็น
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ผู้ว่าฯ ธปท. ได้รับข้อเสนอของภาคเอกชน โดยจะนำข้อมูลไปพิจารณาหาแนวทางร่วมมือแก้ปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากราคาทองคำที่ปรับขึ้น และการทำธุรกรรมคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการฟอกเงินระหว่างประเทศ
โดย ส.อ.ท. เคยเสนอให้หน่วยงานรัฐเข้มงวดการตรวจสอบการส่งออกทองคำ หลังพบว่าปี 2566 มีการส่งออกไปกัมพูชากว่า 12,000 ล้านบาท และปี 2567 พุ่งหลักแสนล้านบาท ดังนั้น ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งจัดระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีการดำเนินการเทรนด์ทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์แล้ว ซึ่งตรงนี้จะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทได้
"เมื่อช่วงเดือนก่อนที่เอกชนพบความผิดปกติของการส่งออกทองคำไปเยอะๆ และเมื่อชี้จุดมีการเข้ามาตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้ค่าเงินบาทลดลงมาได้บ้าง ดังนั้น หากมีการควบคุม และกำกับดูแลอย่างเข้มงวดก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้"
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังเสนอให้ภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่เป็นสินค้า "เมดอินไทยแลนด์" จาก 30% เป็น 50% เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศ และสร้างรายได้ให้ SME โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณเพิ่มเติม พร้อมสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า มีร้านค้าร่วมโครงการกว่า 300,000 ร้านทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ส.อ.ท. เห็นด้วยกับนโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาลที่ต้องเห็นผลใน 4 เดือน โดยเฉพาะมาตรการด้านพลังงาน เช่น ลดราคาน้ำมัน ส่งเสริมโซลาร์ภาคประชาชน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำลังซื้อ และดัน GDP ขยายตัวได้อีก 1% รวมถึงมาตรการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติภาคการท่องเที่ยว จะช่วยหนุนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่เป็นอีกหัวใจสำคัญของ GDP ประเทศ
“วันนี้ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกัน รัฐ–เอกชน–ธนาคารกลาง ต้องเป็นจิ๊กซอว์เดียวกัน หากค่าเงินอยู่ในระดับ 34–35 บาทต่อดอลลาร์ จะช่วยผู้ส่งออกได้มาก และเป็นระดับที่สมดุลระหว่างเสถียรภาพเศรษฐกิจกับการแข่งขัน” นายเกรียงไกร กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







