สี่ธีมเศรษฐกิจไทยปี 2026 | Global Vision

เศรษฐกิจไทยในปี 2026 กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่ท้าทายและอาจเป็นช่วงวิกฤติสำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยมีสี่ธีมหลักที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและสังคมไทย
ธีมแรก: ปีที่เศรษฐกิจอ่อนแอ แต่นโยบายดี
เศรษฐกิจไทยคาดชะลอตัวรุนแรงในไตรมาส 4/2025 และครึ่งแรกของปี 2026 โดยอาจขยายตัวต่ำกว่า 1% ทำให้ GDP ทั้งปี 2025-2026 เติบโตเพียง 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ ผลจากการค้าโลกที่น้อยลงหลังภาษีศุลกากรของสหรัฐมีผลบังคับใช้
ประกอบกับการเร่งส่งออกของประเทศกำลังพัฒนาไปยังสหรัฐในช่วงต้นปี นอกจากนั้น เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงสองด้านหลัก
ด้านที่หนึ่งได้แก่ ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงเดือน ก.ย. แข็งค่าขึ้นสูงสุดกว่า 8% นับแต่ต้นปี ในขณะที่เริ่มอ่อนค่าลงในช่วงหลัง โดยล่าสุดอยู่ที่ 32.7 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า 4.5% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งค่าเงินที่ผันผวนเช่นนี้ กระทบการค้าและการลงทุนของไทย
ด้านที่สอง ความเสี่ยงการคลังไทย หลัง Fitch Ratings ปรับลดมุมมองเครดิตไทยเป็นแง่ลบตามรอย Moody's ทำให้มี 2 จาก 3 บริษัทจัดอันดับหลักให้มุมมองลบต่อไทย โดยหนี้สาธารณะพุ่งใกล้ 70% ของ GDP และการจัดเก็บรายได้ (เฉลี่ย 5 ปี) ขยายตัวลดลงเหลือ 1.2% จาก 3.2% เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก
ขณะที่ประวัติศาสตร์แสดงว่า 50% ของกรณีที่ถูกปรับ Outlook เป็น Negative จะถูกลดอันดับจริงภายใน 1-2 ปี โดยเฉพาะหากไม่สามารถเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ รัฐบาลอนุทินตอบสนองด้วยนโยบายการคลัง 5 ประการ ประกอบด้วย (1) คนละครึ่ง Plus (44,000 ล้านบาท) (2) แก้หนี้ครัวเรือนผ่าน AMC (26,000 ล้านบาท) (3) ค้ำประกันสินเชื่อ SME (50,000 ล้านบาท) (4) เพิ่มการออมผ่านสลากออนไลน์และพันธบัตรออมทรัพย์ และ (5) BOI Fast Pass Plus (470,000 ล้านบาท)
โดยยึดมั่นวินัยการคลังไม่กู้เงินเพิ่ม มาตรการเหล่านี้อาจช่วยดึง GDP ไตรมาส 4 ให้ขยายตัว 0.8-1.0% ทำให้ทั้งปี 2025 ให้เข้าใกล้ 2.0% และอาจมีโมเมนตัมผลักดันต่อเนื่องให้เศรษฐกิจในปี 2026 ขยายตัวได้มากกว่าเดิมที่คาดไว้ที่ 1.4%
ธีมที่สอง: ปีแห่ง K-Shape Recovery คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญการฟื้นตัวแบบ K-Shape อย่างชัดเจน คนรวยและบริษัทใหญ่ฟื้นตัวรวดเร็ว ขณะที่ SME และประชาชนรากหญ้าดิ้นรน SME ซึ่งคิดเป็น 99.5% ของธุรกิจทั้งหมดและจ้างงาน 69.5% กำลังเผชิญวิกฤติเงินทุนรุนแรงสุดนับตั้งแต่ปี 1997
ไทยยังเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์จินี 34.3 ข้อมูล World Bank แสดงว่า 10% ของคนรวยที่สุดครอบครอง 75% ของความมั่งคั่ง หนี้ครัวเรือนยังสูงถึง 87% ของ GDP โดยสัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้เพิ่มจาก 30% ในปี 2017 เป็น 37% ในปี 2022
ปัญหาหลัก คือ แรงงานนอกระบบกว่าครึ่งไม่มีความมั่นคงและไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคม จึงต้องกู้ยืมเพื่อความอยู่รอด
ปี 2026 ความเหลื่อมล้ำจะทวีรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นทั้งวิกฤติที่รัฐบาลต้องดูแล และโอกาสสำหรับธุรกิจที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าชั้นนำอย่างกลุ่ม Wealth
ธีมที่สาม: ปีวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐาน
ภายใต้ข้อจำกัดเวลา 4 เดือนของรัฐบาลอนุทิน รัฐบาลมีบทบาทเป็น “ผู้วางรากฐาน” มากกว่า “ผู้ก่อสร้าง” โดยเน้นสร้างความชัดเจนทางกฎหมาย ผลักดันการอนุมัติ และเตรียมเอกสารประกวดราคาเพื่อสร้างโมเมนตัมให้รัฐบาลถัดไป
โครงการที่ต้องเร่งปิดการเจรจาและอนุมัติ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (เหลือแก้ไขเพียง 5%) และทางพิเศษ M7, M9, M5 ที่รอการอนุมัติจากครม. ส่วนโครงการที่ต้องเตรียมเอกสารและเปิดประมูลในปี 2026 ได้แก่ Land Bridge มูลค่า 990,000 ล้านบาท
รถไฟความเร็วสูงไทย-จีนระยะที่ 2 และร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC Act) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาคใต้
โครงการเหล่านี้เป็น “ฐาน” ของรอบการลงทุนใหม่ (Investment Cycle 2026-2030) หากเดินหน้าได้ตามแผน จะสร้างการจ้างงานได้หลายแสนตำแหน่งและเพิ่มมูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมอย่างน้อย 2.3 ล้านล้านบาทใน 5 ปี
ธีมที่สี่: ภัยอาชญากรรมไซเบอร์
ไทยเผชิญวิกฤติอาชญากรรมไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาบัญชีม้าที่สร้างความเสียหายกว่า 100,000 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2022 ปัจจุบันมีบัญชีม้าใช้งานกว่า 500,000 บัญชี มีประชาชนประมาณ 200,000 คนถูกหลอกเปิดบัญชี
กระทรวงดิจิทัลฯ รายงานว่ายึดบัญชีม้าไปแล้วกว่า 1.6 ล้านบัญชีตั้งแต่ พ.ย.2023 ถึง ม.ค.2025 บัญชีม้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางฟอกเงินของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ
ไทยเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาคอลเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเมียนมา กัมพูชาและลาว องค์การสหประชาชาติประเมินว่ามีผู้ถูกค้ามนุษย์กว่า 200,000 คนถูกบังคับทำงานในศูนย์หลอกลวง
การศึกษาในปี 2024 พบว่ากลุ่มอาชญากรสร้างความเสียหายกว่า 43,800 ล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็นเกือบ 40% ของ GDP รวมของลาว กัมพูชาและเมียนมา กระทรวงการคลังสหรัฐประเมินว่าชาวอเมริกันสูญเสียเงินไปกับแก๊งในภูมิภาคกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ฉบับแก้ไขเมื่อ เม.ย. 2025 ที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีความรับผิดชอบต่อความเสียหายของลูกค้า จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (AOC)
และลงทุนระบบ AI มูลค่า 200 ล้านบาทเพื่อตรวจจับและป้องกันแบบเรียลไทม์ ใน ม.ค.2025 มีการจับกุมผู้กระทำผิด 2,590 ราย และปิดบล็อก URL ผิดกฎหมาย 50,819 รายการ
แม้มีความพยายามจริงจัง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อุตสาหกรรมนี้จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากมีเงินหมุนเวียนมหาศาลและแก๊งมีความยืดหยุ่นสูงในการย้ายฐานปฏิบัติการ จึงเป็นไปได้ว่าภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องลงทุนในการป้องกันความเสี่ยงภัยไซเบอร์มากขึ้น มิฉะนั้นจะเป็นความเสี่ยงอันดับต้นของทั้งธุรกิจและการดำเนินชีวิต
ปี 2026 จะเป็นปีแห่งการเลือกทางสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ไทยต้องสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและรักษาวินัยการคลัง จัดการค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่า แก้ปัญหา K-Shape Recovery ด้วยนโยบายที่ช่วยเหลือ SME และประชาชนรากหญ้าอย่างจริงจัง
สร้างความมั่นคงให้แรงงานนอกระบบและลดภาระหนี้ครัวเรือน วางรากฐานโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อกำหนดศักยภาพการเติบโตในระยะยาว และเร่งสร้างระบบป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง
ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการประสานงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน คำถามสำคัญคือ: ไทยพร้อมแล้วหรือยัง?
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด







