ผู้ว่าฯ ธปท.ถกเอกชนสู้บาทแข็ง เร่งพยุงเศรษฐกิจไทยพ้นหล่ม

ธปท.เดินสายหารือภาคเอกชน รับฟังความเห็นสถานการณ์เศรษฐกิจ “หอการค้า” เสนอแก้ปัญหาบาทแข็ง ขอแยกบัญชีเทรดเงินคริปโทเคอร์เรนซี ทองคำ พร้อมหาแนวทางประกันความเสี่ยงชำระเงินเพื่อส่งออกไปตลาดใหม่ “ส.อ.ท” เสนอแก้ค่าเงินหวังฟื้นกำลังส่งออกไทยมอง GDP ไทยสิ้นปีนี้โตไม่เกิน 2% จากแรงกดดันปัจจัยลบรุมเร้า
KEY
POINTS
- ผู้ว่าฯ ธปท. ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน (หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมฯ) เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าซึ่งกระทบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจโดยรวม
- ภาคเอกชนเสนอให้ ธปท. ดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดให้เป็นไปตามกลไกตลาด พร้อมแสดงความกังวลต่อความผันผวนที่อาจเกิดจากการเก็งกำไร
- ข้อเสนอจากภาคเอกชนรวมถึงการสนับสนุนเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedging) สำหรับผู้ประกอบการ SME และการพิจารณาใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงิน
ค่าเงินบาทเป็นปัจจัยกำหนดความสามารถการแข่งขันสินค้าส่งออกไทย โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งเผชิญ Reciprocal tariff จากสหรัฐ อัตราใกล้เคียงกัน ซึ่งทำให้ค่าเงินอ่อนเป็นการเพิ่มแต้มต่อ แต่ช่วงที่ผ่านมาไทยเผชิญสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า
ล่าสุดค่าเงินบาทวันที่ 20 ต.ค.2568 อยู่ที่ประมาณ 32.70 บาท แต่ถ้าย้อนไปปี 2567 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.10 บาท โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบราคาทองคำขาขึ้น
ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2568 ได้มีแผนหารือทำความเข้าใจกับภาคเอกชนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2568 ผู้ว่าฯ ธปท.ได้หารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น ผลกระทบจากนโยบายนำเข้าของสหรัฐ สถานการณ์ค่าเงินบาท การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ตลอดจนทิศทางนโยบายสำคัญของ ธปท. ในระยะข้างหน้า
“ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรับมือกับความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการที่จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวของเอสเอ็มอี และภาคธุรกิจที่สำคัญ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว”
หวัง ธปท.คุมเงินบาทให้เป็นไปตามกลไก
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การดูแลค่าเงินบาททางหอการค้าขอให้ ธปท.ดูแลอย่างใกล้ชิด และให้เป็นไปตามกลไกที่ถูกต้อง เพราะที่ผ่านมาเงินบาทมีความผันผวนมาก และน่าห่วง เพราะอาจมีการดำเนินการในลักษณะเก็งกำไร หรือส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินบาทที่เข้ามาในระบบ อาทิ เงินคริปโทเคอร์เรนซี การส่งออกทองคำ
โดยในส่วนนี้ยังอยู่ในระบบที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก จะทำอย่างไรไม่ให้มาปะปนกับตัวเลขการส่งออกเนื่องจากเป็นการเทรด อย่างไรก็ตาม ธปท.ก็ไม่ได้ตอบอะไรในเชิงลึก แต่รับปากว่าจะดูแลค่าเงินบาทให้ความเหมาะสม
ส่วนข้อเสนออีกเรื่อง คือ ตลาดสหรัฐที่คาดว่าจะทำให้การส่งออกของไทยลดลงจากมาตราเก็บภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ดังนั้นไทยจำเป็นต้องไปเปิดตลาดใหม่ ซึ่งการหาตลาดใหม่เป็นประเด็นที่ทั้งรัฐ และเอกชนก็เห็นตรงกันไม่ว่าจะใช้การเจรจา การกระชับความสัมพันธ์ การทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
อย่างไรก็ตามตลาดใหม่ที่กึ่งเป็นตลาดเก่าที่ไทยเคยส่งออกแต่ติดปัญหาการเงินที่ประเทศนั้นอาจไม่มีระบบระบบสวิฟท์ (SWIFT) ที่สามารถโอนเงินมายังไทยโดยตรงได้ หรือ บางประเทศมีความน่ากังวลเรื่องการชำระเงิน หากส่งออกสินค้าไปแล้วโดยไม่มีการชำระเงินค่าสินค้าล่วงหน้า เป็นต้น
“ตรงนี้อยากให้ ธปท.เข้ามาช่วยดูเรื่องระบบการเงินว่าจะทำอย่างไร แม้เราจะมีเอ็กซิมแบงก์ในการค้ำประกันความเสี่ยงค่าเงินแต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งในจังหวะที่เราต้องหาตลาดใหม่ทางภาครัฐจะเข้าไปช่วยเรื่องนี้อย่างไรบ้าง”
ส.อ.ท.ถก ธปท.แก้บาทแข็งหนุนส่งออก
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 21 ต.ค.2568 ส.อ.ท.เตรียมหารือกับผู้ว่าฯ ธปท.เพื่อร่วมกันหาทางออกเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสถานการณ์ของค่าเงินดังกล่าวยอมรับว่าความผันผวนคือ เรื่องปกติ แต่ที่ผ่านมาตั้งข้อสังเกตว่าเงินบาทไทย ที่เมื่อเวลาแข็งหรืออ่อนค่ามักสูงที่สุดในภูมิภาค
"ส.อ.ท.ยังเตรียมข้อเสนอต่อ ธปท.ในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบในการค้า และการแข่งขันโดยเฉพาะกับผู้ส่งออก โดยอยากให้มีการสนับสนุนเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ให้ส่วนลดค่าธรรมเนียม และอบรมความรู้แก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อช่วยรับมือค่าเงินบาทแข็งค่า" นายเกรียงไกร กล่าว
นอกจากนี้ ส.อ.ท.มีข้อเสนอให้มีการใช้เครื่องมือทางการเงิน/การธนาคารกลาง ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้น่าดึงดูดต่อการลงทุนภายใน ลดการไหลเข้าสู่ตลาดทุนอย่างไม่มีประสิทธิผล
ส.อ.ท.คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โตต่ำ
นายเกรียงไกร กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ค่อนข้างน่าเป็นห่วงซึ่งเปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” เพราะยังคงมีปัจจัยลบจากเรื่องของปัญหาโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข นั่นคือ 1.มีวันทำงานน้อยเพราะไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย 2.การคอร์รัปชันของระบบราชการรวมถึงกฎหมายที่ล้าหลัง 3.กับดักรายได้ปานกลาง 4.งบประมาณที่ไม่สมดุลในการเบิกจ่าย 5.ระบบการศึกษา
ดังนั้น จึงคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ GDP ไทยอาจโตแค่ 0.3% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 ขนาด GDP ไทยจะโตได้เพียง 2% เท่านั้น แต่หากไตรมาส 4 รัฐบาลสามารถเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนละครึ่ง กระตุ้นการลงทุน แก้ปัญหาหนี้ครัว และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) SMEs ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4% หรือ GDP โตไปได้ในกรอบ 1.8-2.2%
IMF เตือนศักยภาพเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าอาเซียน
ขณะเดียวกัน GDP ปี 2569 ซึ่ง IMF ประเมินว่า GDP ไทยจะโตเพียง 1.7% เท่านั้น ซึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย GDP ปี 2558-2567 (ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี) อยู่ที่ 2.0% เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งภายใน และภายนอกข้างต้น
รวมถึงศักยภาพเศรษฐกิจไทยยังตํ่ากว่าประเทศอื่นในอาเซียน ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทั้ง Aging Society, กฎหมายที่ล่าสมัย, อุตสาหกรรมเก่า ขาดเทคโนโลยี ต้นทุนสูง, รัฐมีรายจ่ายเกินรายได้, และการศึกษาไม่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม
“เศรษฐกิจไทยปีหน้ายังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปี 2568 ที่มีปัจจัยลบมาจากการส่งออกชะลอตัว การผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยยังต้องเร่งการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่มากขึ้นเพื่อเชื่อมโยงกับ Global Supply Chain โดยข้อมูลของสํานักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนของ FDI เติบโตขึ้นกว่า 132%YoY โดยคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 737,572 ล้านบาท
โดยเฉพาะ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เช่น ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่ เทคโนโลยีชีวภาพ และแปรรูปอาหาร เป็นต้น
“แม้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ แต่ยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การลงทุนยังมีการขยายตัว ซึ่งประเทศไทยเองจะต้องเร่งจัดหาพื้นที่รองรับรวมถึงน้ำ ไฟฟ้า บุคลากร เพราะจะเกิดการย้ายฐานเข้ามาลงทุนมากขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรม คลาวด์ PCB ดาต้าเซนเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อาหาร BCG และยังคงมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งในปี 2568 ที่จะสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น”
ชง 6 ข้อเสนอแนะรัฐบาลพลิกโครงสร้างเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ส.อ.ท.อยากเสนอแนะให้รัฐบาลพลิกโครงการให้เข้มแข็งขึ้น แบ่งเป็น
1.ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม โดยให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางจริงจัง
2.จับคู่กับมาตรการเสริมศักยภาพ SME เช่น ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ ฝึกอบรม ปรับระบบดิจิทัล
3.ให้ร้านค้า / SME สามารถเข้าถึงระบบรับจ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) ได้อย่างสะดวก
4.ควบคุม และตรวจสอบไม่ให้มีการตั้งราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเกินควร
5.วางแผนนโยบายต่อเนื่อง เมื่อโครงการสิ้นสุด ต้องมีแผนต่อยอด เช่น โครงการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนรายได้ตํ่า โครงการช้อปช่วยชาติ หรือบัตรสวัสดิการ
6.ผสมกับนโยบายโครงสร้าง เช่น ปรับภาษี ลดภาระต้นทุนธุรกิจ ให้ SME อยู่ได้แม้สภาวะเศรษฐกิจ ไม่เอื้อ ทั้งนี้ หากดําเนินให้ดี โครงการนี้มีศักยภาพเป็นตัว “จุดชนวน” ให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับรากหญ้าได้ แต่ต้องอยู่บนฐานนโยบายบูรณาการ และโครงสร้างที่เข้มแข็ง
วอนพรรคการเมืองเร่งนโยบายระยะยาว
“ส.อ.ท.อยากให้ทุกพรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งครั้งนี้ เอาเรื่องที่เราเสนอไปศึกษาให้มันมีแนวทางออกมาให้ตรงโจทย์ให้มาก อย่าเอานโยบายที่เป็นประชานิยมมากจนเกินไป” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ควรนำเรื่องที่เอกชนเสนอเพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริง ควรต้องใช้วิธีการปรึกษากัน ไม่ใช่ช่วยฝ่ายหนึ่งแล้วโยนภาระให้อีกฝ่ายหนึ่งมันไม่ใช่การแก้ปัญหา ทุกประเทศปรับตัวหมุนดิ้นแรง ไทยก็เล่นกันต้องดิ้น ตัดสินใจให้เร็ว เพราะจากนี้การแข่งขันโลกจะรุนแรงขึ้น
ส่วนกรณีประเด็นเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน ในการปรับแก้เรื่องของเวลาการทำงาน การเพิ่มวันหยุด ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องการให้ภาครัฐทบทวนให้ดี เพราะผลที่เกิดจะมีผลเสียมากกว่า โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงานที่จะลดลง เป็นต้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







