ส.อ.ท.ห่วงเศรษฐกิจไตรมาส3 ติดหล่ม โครงสร้าง-การเมือง-บาทแข็ง ฉุดกำลังซื้อ

"ส.อ.ท." ห่วงเศรษฐกิจไทยไตรมาส3 ติดหล่ม โดนหลายปัจจัยรุมเร้า "โครงสร้างประเทศ-การเมือง-บาทแข็งค่า" ฉุดกำลังซื้อ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2568 ยังน่าเป็นห่วง เปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” หลังปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยภายนอกกดดันพร้อมกัน ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง ค่าไฟ–ดอกเบี้ยแพง การเมืองไม่แน่นอน และเงินบาทแข็ง ส่งผลให้ GDP ไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวเพียง 2% พร้อมเตือนรัฐบาลต้องเร่งมาตรการอัดฉีดและบริหารความเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ค่อนข้างน่าเป็นห่วงซึ่งเปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” เพราะยังคงมีปัจจัยลบจากเรื่องของปัญหาโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข นั่นคือ 1. มีวันทำงานน้อยเพราะไทยเป็นสังคมผู้สูงวัย 2. การคอรัปชั่นของระบบราชการรวมถึงกฎหมายที่ล้าหลัง
3. กับดักรายได้ปานกลาง 4. งบประมาณที่ไม่สมดุลในการเบิกจ่าย 5. ระบบการศึกษา นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่มาจากความเสี่ยงอื่นๆ คือ ภาษีทรัมป์ สินค้าทุ่มตลาด สงครามระหว่างประเทศ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หนี้ครัวเรือน เงินบาทแข็ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการเกษตร และการเมืองภายในประเทศ เป็นต้น
ดังนั้น จึงคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ GDP ไทยอาจโตแค่ 0.3% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 ขนาด GDP ไทยจะโตได้เพียง 2% เท่านั้น แต่หากไตรมาส 4 รัฐบาลสามารถเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนละครึ่ง กระตุ้นการลงทุน แก้ปัญหาหนี้ครัว และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) SMEs ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ได้อีก 0.4% หรือ GDP โตไปได้ในกรอบ 1.8-2.2%
สำหรับความท้าทายภายในประเทศ แบ่งเป็น 1. ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังเรื้อรัง ณ ไตรมาส 2/2568 หนี้ภาคครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 86.8% ต่อ GDP (คิดเป็นมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่ ระดับ 87.1% ต่อ GDP ซึ่งยังบั่นทอนกําลังซื้อและเป็นข้อจํากัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“โดยหนี้เสียรวม (NPLs) ณ ไตรมาส 2/2568 มีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.22 ล้านล้านบาท คิดเป็นบัญชีที่เป็นหนี้เสีย 9.6 ล้านบัญชี จํานวนลูกหนี้ 5.4 ล้านคน ขณะที่ลูกหนี้ 3.4 ล้านคน เป็นหนี้เสียที่ตํ่ากว่า 1 แสนบาท”
2. หนี้ธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ณ ไตรมาส 2/2568 ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อยู่ที่ 3.12 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 3.14 ล้านล้านบาท ลดลง -0.71% QoQ
โดยหนี้เสีย (NPLs) ของสินเชื่อธุรกิจ ณ ไตรมาส 2/2568 พบว่า สินเชื่อวงเงินมากกว่า 500 ล้านบาท มีสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อธุรกิจอยู่ที่ 1.04% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนเดิมอยู่ที่ 1.01% แต่ในขณะที่สินเชื่อวงเงินน้อยกว่า 500 ล้านบาท มีสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อธุรกิจอยู่ที่ 7.62% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเดิมอยู่ที่ 7.28%
3. ภาระต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูงทั้งค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ และราคานํ้ามัน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้างวด ก.ย.–ธ.ค. 68 อยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย รวมถึง ต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) (ณ กรกฎาคม 2568) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.90-7.30% ต่อปี
4. นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 พบว่ามีจํานวนสะสม 24.12 ล้านคน ลดลง -7.56%YoY คิดเป็นการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.11 ล้านล้านบาท ลดลง -5.85%YoY
5. ความกังวลต่อการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนในงบประมาณปี 2569 ที่อาจล่าช้าในระยะข้างหน้าตาม Timeline การยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 และคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 29 มีนาคม 2569
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านอื่นๆ เช่น ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง ปัญหาการคอร์รัปชั่นที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ ประสิทธิภาพการทํางานและการขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ ตลอดจนการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aging Society) การขาดแคลนแรงงานทักษะขั้นสูงเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกฎหมาย กฎระเบียบ ที่ล้าสมัยและขาดความยืดหยุ่นในการรองรับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสมัยใหม่
ส่วนความท้าทายภายนอกประเทศ อาทิ 1. ผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ และสงครามการค้า ตลอดจนความไม่แน่นอนในการเจรจาเกี่ยวกับเกณฑ์การคํานวณ Regional Value Content (RVC) รวมถึง ความเสี่ยงการพึ่งพาตลาดการส่งออกใดตลาดหนึ่งเป็นหลักในสัดส่วนที่มากเกินไปของไทย
2. ปัญหาสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทยในปี 2568 ผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมกว่า 24 กลุ่ม ซึ่งกดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย รวมถึง การสวมสิทธิ์สินค้าเพื่อส่งออก ตลอดจนตลาดในภูมิภาคเกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
3. ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา (โดยปี 2567 ภาพรวมมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ “ไทย-กัมพูชา” อยู่ที่ 367,234 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าการค้าชายแดนถึง 174,524 ล้านบาท)
4. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและบรรยากาศทางการค้าการลงทุน เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
5. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ทั้งทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทําให้เกิดอุทกภัย และทางอ้อมจากมาตรการ NTB ต่างๆ ในตลาดส่งออกหลักของไทย เช่น CBAM, EUDR, Carbon Credit เป็นต้น
ขณะเดียวกัน GDP ปี 2569 ซึ่ง IMF ประเมินว่า GDP ไทยจะโตเพียง 1.7% เท่านั้น ซึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย GDP ปี 2558-2567 (ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี) อยู่ที่ 2.0% เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกข้างต้น รวมถึงศักยภาพเศรษฐกิจไทยยังตํ่ากว่าประเทศอื่นในอาเซียน ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทั้ง Aging Society, กฎหมายที่ล่าสมัย, อุตสาหกรรมเก่า ขาดเทคโนโลยี ต้นทุนสูง, รัฐมีรายจ่ายเกินรายได้, และการศึกษาไม่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม
“เศรษฐกิจไทปีหน้ายังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปี 2568 ที่มีปัจจัยลบมาตากการส่งออกชะลอตัว การผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง”
ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยยังต้องเร่งการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่มากขึ้นเพื่อเชื่อมโยงกับ Global Supply Chain โดยข้อมูลของสํานักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนของ FDI เติบโตขึ้นกว่า 132%YoY โดยคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 737,572 ล้านบาท โดยเฉพาะ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เช่น ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่ เทคโนโลยีชีวภาพ แปรรูปอาหาร เป็นต้น
“แม้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ แต่ยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การลงทุนยังมีการขยายตัว ซึ่งประเทศไทยเองจะต้องเร่งจัดหาพื้นที่รองรับรวมถึงน้ำ ไฟฟ้า บุคคลากร เพราะจะเกิดการย้ายฐานเข้ามาลงทุนมากขึ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรม คลาวด์ PCB ดาต้าเซ็นต์เตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อาหาร BCG และยังคงมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งในปี 2568 ที่จะสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น”
ทั้งนี้ ส.อ .ท. อยากเสนอแนะให้รัฐบาลพลิกโครงการให้เข้มแข็งขึ้น แบ่งเป็น
1. ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม โดยให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางจริงจัง
2. จับคู่กับมาตรการเสริมศักยภาพ SME เช่น ให้กู้ดอกเบี้้ยต่ำ ฝึกอบรม ปรับระบบดิจิทัล
3. ให้ร้านค้า / SME สามารถเข้าถึงระบบรับจ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) ได้อย่างสะดวก
4. ควบคุมและตรวจสอบไม่ให้มีการตั้งราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเกินควร
5. วางแผนต่อเนื่อง (นโยบายต่อเนื่อง) เมื่อโครงการสิ้นสุด ต้องมีแผนต่อยอด เช่น โครงการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนรายได้ตํ่า โครงการช้อปช่วยชาติ หรือบัตรสวัสดิการ
6. ผสมกับนโยบายโครงสร้าง เช่น ปรับภาษี ลดภาระต้นทุนธุรกิจ ให้ SME อยู่ได้แม้สภาวะเศรษฐกิจ ไม่เอื้อ ทั้งนี้ หากดําเนินให้ดี โครงการนี้มีศักยภาพเป็นตัว “จุดชนวน” ให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับรากหญ้าได้ แต่ต้องอยู่บนฐานนโยบายบูรณาการและโครงสร้างที่เข้มแข็ง
"ส.อ.ท. อยากให้ทุกพรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งครั้งนี้ เอาเรื่องที่เราเสนอไปศึกษาให้มันมีแนวทางออกมาให้ตรงโจทย์ให้มาก อย่างอย่าเอานโยบายที่เป็นประชานิยมมากจนเกินไป ควรเอาเรื่องที่เอกชนเสนอเพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริง ควรต้องใช้วิธีการปรึกษากัน ไม่ใช่ช่วยฝ่ายนึงแล้วโยนภาระให้อีกฝ่ายหนึ่งมันไม่ใช่การแก้ปัญหา ทุกประเทศปรับตัวหมุนดิ้นแรง ไทยก็เล่นกันต้องดิ้น ตัดสินใจให้เร็ว เพราะจากนี้การแข่งขันโลกจะรุนแรงขึ้น”
ส่วนกรณีประเด็นเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับใหม่ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน ในการปรับแก้เรื่องของเวลาการทำงาน การเพิ่มวันหยุด ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องการให้ภาครัฐทบทวนให้ดี เพราะผลที่เกิดจะมีผลเสียมากกว่า โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงานที่จะลดลง เป็นต้น







