ครม. เศรษฐกิจ ไฟเขียว 3 มาตรการพลังงาน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 1.4 ลลบ.

ครม. เศรษฐกิจ ไฟเขียว 3 มาตรการพลังงาน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 1.4 ลลบ.

ครม.เศรษฐกิจเคาะ 3 มาตรการด้านพลังงาน Quick Big Win มุ่งลดค่าครองชีพประชาชน หวังสร้างผลประโยชน์ทางการเงินและเศรษฐกิจกว่า 1.4 ล้านล้านบาท

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันนี้ (20 ต.ค.) โดยระบุว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นการพิจารณาแผนงานภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน เพื่อนำไปสู่การลดค่าครองชีพให้กับประชาชน รวมไปถึงการสร้างรายได้ให้ชุมชน และการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

โดยสอดคล้องไปกับการที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะการการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อออกมาตรการมาเร่งรัดให้บริษัทต่างประเทศที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย ซึ่งปัจจัยสำคัญในการดำเนินการจะต้องมีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งในการประชุมวันนี้จะได้แนวทางที่ชัดเจน

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุม ครม.เศรษฐกิจว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ได้เห็นชอบกรอบมาตรการการดำเนินมาตรการด้านพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและกระตุ้น เศรษฐกิจของกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะมีโครงการสำคัญที่กระทรวงพลังงานเสนอเพื่อดำเนินการ ประกอบด้วย 

1.โครงการโซลาร์ ฟาร์มชุมชน 2.โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร 3.โครงการการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย 4.โครงการโซลาร์ลอยน้ำ ในเขื่อน (FPV) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ 5.โครงการการส่งเสริมการติดตั้ง ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน แสงอาทิตย์สำหรับหน่วยงานของรัฐ

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินโครงการที่สามารถดำเนินการได้จริงและรวดเร็ว ต้องเกิดภายในปีนี้ ซึ่งจะมี 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร และโครงการการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย ส่วนโครงการอื่นๆ เป็นการอนุมัติในกรอบนโยบายให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

“คาดว่านโยบายเหล่านี้จะสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ โดยยกตัวอย่างว่าปัจจุบันประชาชนซื้อไฟในราคาประมาณ 4.90 บาท แต่หากมีโซลาร์ชุมชน จะสามารถซื้อไฟได้ในราคา 3 บาทกว่า ซึ่งทำให้ค่าครองชีพของประชาชนลดลง”

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำด้วยว่า โครงการโซลาร์เซลล์ต่างๆ ที่นำเสนอ ต้องไม่เป็นลักษณะการผูกขาดให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง ต้องทำให้ได้เกิดประโยชน์เป็นวงกว้าง ขณะที่การดำเนินโครงการโซลาร์ ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้านเรื่องค่าสายส่ง เพื่อรองรับการกระจายตัวของโซลาร์ชุมชนในหลายพื้นที่ เช่นเดียวกับประเด็นการซื้อไฟกลับสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะมีรายละเอียดที่ชัดเจนในการเสนอมาตรการนี้เข้า ครม.สัปดาห์หน้า

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เผยว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ได้เห็นชอบกรอบการดำเนินงานมาตรการด้านพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและกระตุ้น เศรษฐกิจของกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม. วันที่ 28 ต.ค.นี้ 

โดยชุดมาตรการที่กระทรวงพลังงานเสนอมีจำนวน 3 มาตรการ ซึ่งประเมินว่าจะทำให้ภาครัฐ มีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 131,864 ล้านบาท แต่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางการเงิน และเศรษฐกิจรวมกว่า 1,465,378 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 39,761 คน และลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHGs) ได้ประมาณ 29.446  ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

สำหรับมาตรการที่มีการเสนอเพื่อดำเนินการนั้น ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 การสร้างรายได้ลดรายจ่ายด้านพลังงานโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ได้แก่ 1.โครงการโซลาร์ ฟาร์มชุมชน  เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 3 หมื่นล้านบาท และเกิดผลประโยชน์ทางบวกอื่นๆ คือเกิดการจ้างงาน 1,785 คน - ลด GHGs 0.976  MtCO2eq ต่อปี - ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 410.4 ล้านบาทต่อปี

2.โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร ระยะ 50 ระบบ เกษตรกรประหยัดค่าไฟ จากการสูบน้ำ 1,500 บาท/ไร่/ปี  เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นและทำ เกษตรในฤดูแล้งโดยปลูกพืชอายุ สั้นใช้น้ำน้อย 66.14 ล้านบาท/ปี หรือ 4,300 บาท/ไร่/ปี ส่งผลภาพรวมเกษตรกรมี ค่าใช้จ่ายลดลงและรายได้เพิ่มขึ้น 5,800 บาท/ไร่/ปี ระยะต่อมาขยายเป็น 1,150 ระบบ จำนวนครัวเรือนได้รับ ผลประโยชน์ไม่น้อยกว่า 23,000 ครัวเรือน ภาพรวมจะลด GHGs  0.064 MtCO2eq ต่อปี  ผลประโยชน์ด้านการเกษตร รวม 12,000  ล้านบาท/ปี เกิดการจ้างงานทั้งหมด 13,800 คน

3.โครงการการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้าน อยู่อาศัยด้วยมาตรการ ทางภาษี รัฐสูญเสียค่าใช้จ่าย 5,166.24 ล้านบาท  แต่จะเกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 20,250 ล้านบาท  เกิดการจ้างงาน 450  คน  และลด GHGs 0.280  MtCO2eq ต่อปี

4.โครงการโซลาร์ลอยน้ำ ในเขื่อน (FPV) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยโครงการนี้มีการลงทุน 53,368 ล้านบาท เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 140,440 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 450 คน และลด GHGs 0.280  MtCO2eq ต่อปี 

5.โครงการการส่งเสริมการติดตั้ง ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน แสงอาทิตย์สำหรับหน่วยงานของรัฐ โดยมีการลงทุน 9,000 ล้านบาท เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 77,522 ล้านบาท โดยจะทำให้หน่วยงานของรัฐมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ประมาณ 16,600 ล้านหน่วยต่อปี 

มาตรการที่ 2 มาตรการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้แก่

1.มาตรการการเร่งรัดการซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม Data center หรือ มาตรการ Direct PPA เพื่อสนองต่อความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ 

โดยเสริมความพร้อมของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจาก ต่างประเทศโดยเฉพาะการลงทุนใน Data Center และอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมการแข่งขันและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในตลาด ไฟฟ้าสะอาดโดยอนุญาตให้บุคคลที่สามใช้บริการระบบส่งผ่าน (TPA) พร้อมจ่ายค่าบริการตามที่กำหนด และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนผ่านช่องทางที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ขณะที่ปัจจุบันมีกลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบกิจการ Data Center ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงาน หมุนเวียนตามข้อกำหนดจากบริษัทแม่ และเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ โดยกำหนดปริมาณกรอบเป้าหมาย การดำเนินการ Direct PPA ไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ โดยมาตรการนี้จะมีการส่งเสริมการลงทุนปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าในระยะแรก ในพื้นที่ภาคตะวันออกรวม 37,500  ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนของ กฟผ. 33,500 ล้านบาท และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 4,000 ล้านบาท

สำหรับผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนในโครงการนี้ ได้แก่ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรองรับ อุตสาหกรรม Data Center และการพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออกเพื่อพัฒนา ระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้าในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กระตุ้น เงินลงทุนทางเศรษฐกิจกว่า 65,000  ล้านบาท สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า  1.66  ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และเกิดการสร้างงานมากกว่า  3,094 คน  

2.การพัฒนาระบบส่งระบบจำหน่ายไฟฟ้าในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เพื่อ รองรับปริมาณความต้องการไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ประเภท Data Center ในพื้นที่ EEC ได้ประมาณ  3,8167.6 เมกะวัตต์ โครงการนี้ใช้เงินลงทุน 33,500 ล้านบาท 

โดยต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ กฟผ.ใช้งบประมาณคงเหลือภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (TIPE) จำนวน 3,000 ล้านบาท และเสนอโครงการปรับปรุง ระบบส่งไฟฟ้าใหม่เพื่อขออนุมัติ ครม. จำนวน  30,500 ล้านบาทม าใช้ในการดำเนินการ โครงการนี้จะเกิดผลประโยชน์กว่า 580,000 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 4,580 คน 

มาตรการที่ 3 สร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2050 โดยผลักดันโครงการนำร่องนำเทคโนโลยีเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Storage: CCS) อาทิ การศึกษาและประเมินศักยภาพการกักเก็บ CO2 ในบริเวณอ่าวไทย ตอนบนเพื่อรองรับการปลดปล่อยจากคาร์บอนจากพื้นที่ EEC

รวมไปถึงการเสนอให้ดำเนินการโครงการนำร่องดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แหล่ง ก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ (Arthit CCS Pilot Project) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อัตรา 1 ล้านตันต่อปี ระยะที่ 1 ในช่วงปี พ.ศ.2571 – 2579 โดยมีงบลงทุนประมาณ 16,500 ล้านบาท

นอกจากนั้นจะมีการเร่งปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan: PDP) ให้แล้วเสร็จใน 4 เดือน เพื่อที่ประเทศไทยจะวางแผนจัดหากำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง ค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม