เศรษฐกิจไม่ทางการและรัฐสวัสดิการ | มุมมองบ้านสามย่าน

เศรษฐกิจไม่ทางการ (informal economy) ไม่จำเป็นต้องผิดกฎหมาย สามารถเป็นกิจกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น การค้าหาบเร่แผงลอย สอนพิเศษ ขับรถโดยสาร เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้มิได้ถูกนับรวมในรายได้ประชาชาติ
มิได้เห็นชัดแจ้งจดบันทึกได้ยาก และตรวจสอบสังเกตได้ยาก
เมื่อเศรษฐกิจไม่ทางการมีขนาดใหญ่มากขึ้นก็ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจทางการและสังคม เนื่องจาก 1. แรงงานส่วนใหญ่ในภาคนี้มักเป็นแรงงานทักษะน้อย และมีการสะสมทุนน้อย ซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานและผลตอบแทนการลงทุนต่ำ ทำให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไม่สูง อีกทั้งแรงงานไม่ได้รับการคุ้มครองจากสิทธิแรงงาน เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำและสวัสดิการ
ดังนั้น รายได้ของประชากรในภาคไม่ทางการมีแนวโน้มน้อยกว่าภาคทางการอย่างมาก 2. เมื่อรายได้น้อยทำให้ภาคครัวเรือนขาดเงินออมเพื่อใช้การลงทุน อีกทั้งความน่าเชื่อถือก็ไม่เพียงพอต่อการกู้ยืมธนาคาร พวกเขาจึงขาดเงินลงทุนทางธุรกิจ และการลงทุนในทุนมนุษย์ เช่น การศึกษาและสุขภาพ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วรุ่นความเหลื่อมล้ำทางโอกาสก็ถ่างออกมากขึ้น
3. แรงงานภาคไม่ทางการเข้าไม่ถึงประกันสังคม และรับรายได้เป็นค่าจ้างรายวัน พวกเขารับแรงกระแทกความเสี่ยงสังคมได้อย่างจำกัด และใช้เวลายาวนานในการฟื้นตัวจากความเสียหาย เช่น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องจ่ายค่ารักษาเอง และไม่มีเงินชดเชยการขาดงาน
4. ยิ่งขนาดเศรษฐกิจไม่ทางการใหญ่ ก็ยิ่งทำให้รัฐเก็บภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ยาก และส่งผลให้รัฐขาดงบประมาณเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และนโยบายกระจายรายได้
5. นโยบายรัฐได้ผลไม่ตรงเป้า เนื่องจากรัฐเก็บข้อมูลประชากรและกิจกรรมภาคไม่ทางการไม่ได้สมบูรณ์ ทำให้นโยบายสวัสดิการสังคมอาจส่งไม่ถึงมือคนที่ลำบากจริงๆ จนทำให้พวกเขาติดกับดักความยากจนต่อไป สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะร้ายแรงยิ่งขึ้นถ้าภาคการเมืองมีการคอรัปชั่นจนงบประมาณรั่วไหลให้ผู้แสวงหาเงินทอนนโยบาย
6. ผลประโยชน์ภาคไม่ทางการมหาศาลและมีบางกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย จนมีการก่อร่างสร้างเครือข่ายอาชญากรรมที่ท้าทายผู้บังคับใช้กฎหมาย
เศรษฐกิจไม่ทางการในประเทศที่พัฒนาแล้ว
รัฐสวัสดิการในประเทศพัฒนาแล้วต้องการภาษีจำนวนมหาศาล เพื่อกระจายสวัสดิการสังคมคุณภาพสูงแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง รัฐจึงต้องมีสมรรถนะสูงในการตรวจตราและเก็บทรัพยากรจากประชาชนไม่ให้หลุดรอดออกนอกระบบ นอกจากนี้สถาบันเศรษฐกิจการเมืองและสังคมในภาคทางการมีโครงสร้างที่ก้าวหน้าและแข็งแรง
การบริหารรัฐกิจมีความโปร่งใส สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด มีนโยบายกระจายรายได้และสวัสดิการสังคมเพื่อลดช่องว่างทางสังคม และถัวเฉลี่ยความเสี่ยงร่วมกันของคนในสังคม เหล่านี้จึงช่วยสร้างความมั่นใจและความหวังแก่ประชาชน รัฐจึงสามารถชักชวนประชาชนให้ทำกิจกรรมในภาคทางการได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยการเก็บภาษีอัตราสูงและก้าวหน้าก็ทำให้บางคนหลีกเลี่ยงภาษี และเลือกทำกิจกรรมในภาคไม่ทางการแทน ประเทศพัฒนาแล้วยังคงมีเศรษฐกิจไม่ทางการ แม้จะสัดส่วนน้อยประมาณ 10-15 % GDP
เศรษฐกิจไม่ทางการในประเทศกำลังพัฒนา
การเติบโตของเศรษฐกิจทางการในประเทศกำลังพัฒนาไม่สูงมากพอ จะดูดซับแรงงานที่อพยพจากภาคการเกษตรชนบทต่างจังหวัดได้หมด อย่างไรก็ตาม แรงงานอพยพเหล่านั้นก็เลือกที่จะอยู่อาศัยในเมืองเพื่อหวังว่าจะได้งานในภาคทางการในอนาคต
พวกเขาเลือกทำงานในภาคไม่ทางการ เช่น ขับรถรับจ้าง เปิดร้านหาบเร่แผงลอย เปิดร้านขายอาหารเล็กๆ แม่บ้าน รับจ้างอิสระ เป็นต้น ซึ่งช่วยผลิตสินค้าและบริการในราคาที่จับต้องได้ป้อนให้คนทั้งเมือง รายได้ของพวกเขามากกว่ากลับไปทำงานภาคเกษตร และเหลือเงินเก็บส่งกลับไปเลี้ยงครอบครัวที่ต่างจังหวัดด้วย ถึงแม้เศรษฐกิจภาคไม่ทางการจะจัดสรรทรัพยากรได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
แต่อย่างน้อยก็สร้างงานและโอกาสให้คนจำนวนมากหลุดจากความยากจน ดูดซับความเหลื่อมล้ำจากทุนนิยมได้บางส่วน เป็นแหล่งที่มาสวัสดิการสังคมให้กลุ่มเปราะบาง เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาจึงมีลักษณะเป็นทวิลักษณ์ ประกอบด้วยเศรษฐกิจทางการที่ใช้แรงงานทักษะสูง เทคโนโลยีก้าวหน้า ทุนขนาดใหญ่
และเป็นตัวนำการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับเศรษฐกิจไม่ทางการที่ใช้แรงงานทักษะน้อย การผลิตไม่ซับซ้อน ทุนขนาดเล็ก เพื่อหล่อเลี้ยงและอำนวยความสะดวกให้เศรษฐกิจทางการ ประเทศกำลังพัฒนาจึงมีขนาดของเศรษฐกิจไม่ทางการใหญ่ประมาณ 40-60 % GDP
หลายประเทศพยายามลดขนาดเศรษฐกิจไม่ทางการลง เพื่อหวังว่าเป็นแรงผลักให้หลุดกับดักรายได้ปานกลาง เช่น ขยายการศึกษาภาคบังคับ ใช้มาตรการภาษีจูงใจและลงโทษ ส่งเสริมการลงทุนจากภายนอก เป็นต้น อย่างไรก็ตามประสบการณ์จากหลายประเทศในละตินอเมริกาพบว่าช่วงเปลี่ยนผ่านลดขนาดเศรษฐกิจไม่ทางการ ลงแล้วความเหลื่อมล้ำกลับเพิ่มมากขึ้น
การออกแบบนโยบายที่ขาดมาตรการช่วยเหลืออย่างรอบคอบกลับยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำแย่ลงไปอีก เช่น การใช้มาตรการภาษี หรือค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อบีบให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ภาคทางการ กลับกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนให้พวกเขาจนไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่เดิมอยู่ในภาคทางการ จนสุดท้ายก็ต้องปิดกิจการลง
อีกทั้งถ้ายังไม่มีการฏิรูปสถาบันในเศรษฐกิจทางการเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางโอกาส สุดท้ายความเหลื่อมล้ำสังคมก็บีบแรงงานกลับเข้าสู่ภาคไม่ทางการอีกครั้ง และขนาดภาคไม่ทางการลดลงไม่มาก
ประเทศไทยและความท้าทายใหม่
ประเทศไทยก็มีขนาดเศรษฐกิจไม่ทางการสูงถึง 42 % GDP และมีแรงงานนอกประกันสังคมประมาณ 70% ของแรงงาน ภาคไม่ทางการมีส่วนสำคัญในการดูดซับเลือดจากบาดแผลต้มยำกุ้งในปี 2540 ช่วยต่อชีวิตหลายๆครอบครัว ความขยันและการเก็บหอมรอมริบของแรงงานภาคไม่ทางการก็ช่วยส่งลูกหลานเรียนหนังสือจนเป็นต้นทุนก้าวข้ามความยากจนไปได้
กระนั้นก็เต็มไปด้วยผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและสังคมเช่นกัน รัฐบาลต่างพยายามลดขนาดเศรษฐกิจไม่ทางการลงมาตลอดช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ความซับซ้อนของเศรษฐกิจไม่ทางการไทยยังคงปริศนาที่ต้องการการศึกษาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังโควิด-19 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความท้าทายใหม่
ภาพจำเก่าที่แรงงานในภาคไม่ทางการมักจะเป็นกลุ่มคนชายขอบเปราะบาง แรงงานทักษะน้อย หรือผู้ประกอบการสายป่านสั้น การผลิตไม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ได้เปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากภาวะบีบคั้นของค่าตอบแทนแรงงานในภาคทางการโตไม่ทันกับเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
อีกทั้งเทคโนโลยี AI และโซเชียลมีเดียก็ช่วยให้คนผลิตงานซับซ้อนได้ด้วยตัวคนเดียวและมีต้นทุนผลิตซ้ำที่ถูกลง ทำให้คนชั้นกลางมีการศึกษา มีทุนรอน มีงานประจำก็ลงมาแข่งขันในตลาดไม่ทางการมากขึ้น เช่น ติวเตอร์ ไลฟ์โคช อาชีพอิสระ ขับรถ ขายของออนไลน์ ทำอาหาร บริการส่งคนแก่ไปโรงพยาบาล และงานบริการอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยอัตราการเติบโตเศรษฐกิจทางการเริ่มลดลงก็เป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเริ่มหาช่องทางขยายตลาดใหม่ในภาคไม่ทางการ เช่น ธุรกิจแพลตฟอร์ม ธุรกิจแม่บ้านออนไลน์ ธุรกิจอาหารสะดวกซื้อ เป็นต้น ผลที่ตามมาจึงอาจเกิดการแข่งขันในตลาดไม่ทางการมากขึ้น
โดยแรงงานเก่าเสียเปรียบกลุ่มผู้มาใหม่ เนื่องจากขาดแคลนทักษะ ทุน และเทคโนโลยี และอาจจะพ่ายแพ้ออกจากตลาดไป เศรษฐกิจไม่ทางการที่เคยเป็นเสมือนบ่อน้ำแหล่งสุดท้ายของกลุ่มเปราะบางก็จะเหือดแห้งลง พวกเขาสุ่มเสี่ยงที่ยากจนลงจนไม่เห็นความหวังในการเลื่อนชนชั้นได้
การที่ชนชั้นกลางและทุนลงมาแข่งขันก็ไม่รับประกันผลว่าขนาดของเศรษฐกิจไม่ทางการจะลดลงได้อย่างที่คาดหวัง เพราะความสัมพันธ์ระหว่างขนาดเศรษฐกิจไม่ทางการและความเหลื่อมล้ำเป็นไปอย่างซับซ้อน
และรัฐจำเป็นต้องปฏิรูปสถาบันเศรษฐกิจการเมืองสังคมในภาคทางการใหม่เพื่อเอื้อให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน และดึงดูดให้ทุกคนเห็นผลประโยชน์ร่วมกันในการเข้าสู่เศรษฐกิจทางการมากขึ้น







