เข้าใจเศรษฐกิจไทยจากเลนส์นักเศรษฐศาสตร์โนเบล

สัปดาห์ที่แล้ว ราชบัณฑิตยสถานวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Science) มอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2025 ให้กับนักเศรษฐศาสตร์สามคน
โจเอล โมเคียร์ (Joel Mokyr) มหาวิทยาลัย Northwestern ฟิลิปป์ อากิยง โรงเรียนธุรกิจ INSEAD และ London School of Economics มหาวิทยาลัย London ปีเตอร์ โฮวิตต์ (Peter Howitt) มหาวิทยาลัย Brown
ที่อธิบายบทบาทของนวัตกรรมในการเติบโตของเศรษฐกิจ ชี้ถึงความสำคัญของพลวัต ความรู้ นวัตกรรม และการทำลายอย่างสร้างสรรค์เมื่อเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนเทคโนโลยีเก่าในกระบวนการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจ
รวมถึงบทบาทของนโยบาย การแข่งขัน ความพร้อมของแรงงานและวัฒนธรรมสังคมที่จะสร้างภาวะเเวดล้อมให้พลวัตการเติบโตดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งหลายเรื่องเป็นปัญหาที่เศรษฐกิจไทยประสพอยู่ขณะนี้ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
งานที่ได้รางวัลโนเบลของสามนักเศรษฐศาสตร์แบ่งได้เป็นสองเรื่อง เรื่องแรกคือ งานศึกษาของ โจเอล โมเคียร์ ที่ตั้งคำถามว่าทำไมการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา คือศตวรรษที่ 19-20 มีความต่อเนื่องและเติบโตได้แบบไม่หยุดนิ่ง
นำเศรษฐกิจและประชาชนในโลกออกจากความยากจนไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ต่างกับศตวรรษที่ 18 และก่อนหน้า ที่การเติบโตเหมือนหยุดนิ่ง คือโตแลัวถดถอย
ซึ่งคำตอบคือ ความรู้ (Knowledge) ที่นำสู่ไปการค้นคว้า นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนเทคโนโลยีเก่าตลอดเวลา เป็นกระบวนการที่ไม่จบสิ้น ทำให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง
เงื่อนไขสำคัญที่ขับเคลื่อนกระบวนการดังกล่าว คือ 1.ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific knowledge) ที่ทำให้โลกสามารถต่อยอดความรู้และการค้นคว้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้น 2.วัฒนธรรมสังคมที่เปิดกว้างต่อการแสดงความคิดเห็น การเรียนรู้ และการพร้อมตอบรับสิ่งใหม่ๆ
สำหรับ ฟิลิปป์ อากิยง และ ปีเตอร์ โฮวิตต์ ผลงานคือ “ทฤษฎีการทำลายอย่างสร้างสรรค์” (Creative Destruction) ที่อธิบายกลไกที่เทคโนโลยีใหม่โดยผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาทดแทนเทคโนโลยีเก่าโดยผู้ประกอบการรายเก่า ที่ต้องล้มหายไปจากเศรษฐกิจตามกระบวนการทดแทน ขณะที่เทคโนโลยีใหม่สร้างประโยชน์และมูลค่าที่สูงขึ้น นำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจ
การทำลายผู้ประกอบการรายเก่าและเทคโนโลยีเก่า ทดแทนด้วยผู้ประกอบการรายใหม่และเทคโนโลยีใหม่ คือ กระบวนการทำลายอย่างสร้างสรรค์ ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว และหน้าที่ของนโยบายคือ การสร้างภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้กลไกดังกล่าวเกิดขึ้น
เช่น ส่งเสริมความรู้ มีสถาบันที่เกี่ยวข้องต่างๆ สนับสนุน เช่น ทักษะแรงงาน กฎระเบียบ แรงจูงใจ ขณะเดียวกันก็กํากับดูแลการทดแทนหรือการเปลี่ยนผ่านของผู้ประกอบการให้เกิดขึ้นอย่างสมดุล เป็นระเบียบ
นักเศรษฐศาสตร์รุ่นผมที่เรียนและสอนเศรษฐศาสตร์มากว่า 50 ปี คงไม่ตื่นเต้นกับเเนวคิดเทคโนโลยีสําคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะเข้าใจดีว่าในระยะยาว การเติบโตของเศรษฐกิจมาจากด้านอุปทานที่เศรษฐกิจต้องมีความสามารถในการผลิตและมีผลิตภาพที่สูงคือ Productivity ซึ่งปัจจัยสำคัญที่เพิ่มผลิตภาพคือการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี
ส่วนแนวคิดการทำลายอย่างสร้างสรรค์ก็ไม่ใหม่ โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) เคยเขียนเรื่องนี้ปี 1942 ว่านวัตกรรมใหม่ๆ จะทำลายโครงสร้างเดิมทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มสิ่งใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่า นำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจและระบบทุนนิยม
ดังนั้น อะไรคือสิ่งใหม่ที่รางวัลโนเบลให้ความสำคัญ เรื่องนี้เพื่อให้เข้าใจพัฒนาการความคิดทางเศรษฐศาสตร์ โมเดลการเติบโตเศรษฐกิจรุ่นแรกๆ เช่น ของ Robert Solow ใช้สมมุติฐานว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยภายนอก (Exogenous) ปรับเปลี่ยนไม่ได้
แต่สิ่งที่ ฟิลปป์ อากิยงและปีเตอร์ โฮวิตต์ ทำคือ ชี้ว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นปัจจัยภายใน (Endogeneous) ที่วัดได้ เปลี่ยนแปลงได้ โดยความแตกต่างในการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีในระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เช่น การแข่งขัน สินทรัพย์ทางปัญญา โครงสร้างตลาด และนโยบายรัฐ และกลไกที่ส่งผ่านผลของนวัตกรรมไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจก็คือ กระบวนการทำลายอย่างสร้างสรรค์ ที่สินค้าเก่าโดยเทคโนโลยีเก่าถูกทำลายเมื่อมีสินค้าใหม่โดยเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น
ขยายความเเนวคิดเดิมของชุมปีเตอร์ โดยใช้แบบจําลองคณิตศาสตร์ ขณะที่โจเอล โมเคียร์ชี้ต่อว่า วัฒนธรรมและระบบนิเวศในสังคมสําคัญต่อการเติบโตของนวัตกรรมอย่างยั่งยืน
ดังนั้น งานของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนอาจไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นการต่อยอดแนวคิดเดิมที่มีอยู่เพื่อสร้างกรอบวิเคราะห์สําหรับการทำนโยบาย ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและความยั่งยืน
เศรษฐกิจไทยปัจจุบันก็มีปัญหาเรื่องนี้ เศรษฐกิจเราขยายตัวตํ่าต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุสำคัญคือการลงทุนที่ตํ่า ส่วนหนึ่งเพราะภาคธุรกิจไม่มีนวัตกรรมของตนเอง อีกส่วนเพราะผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม เกษตร และภาคบริการส่วนใหญ่ไม่ยกระดับการผลิตไปสู่การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ทำให้ผลิตภาพการผลิตของประเทศตํ่า แข่งขันไม่ได้ ตัวอย่างเช่น AI ที่ผู้บริโภค ภาคการเงินและบางส่วนในภาคบริการปรับตัวได้เร็วกับการใช้เทคโนโลยี แต่ที่ช้าคือ ภาคการผลิตและเอสเอ็มอี
ในเลนส์ของนักเศรษฐศาสตร์โนเบล ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะใช้เทคโนโลยีระดับแนวหน้า แต่การประยุกต์ใช้ต่ำ เพราะกระบวนการทำลายอย่างสร้างสรรค์ในประเทศเราอ่อนแอ บริษัทธุรกิจที่ช้าหรือปรับตัวไม่ได้ยังอยู่ได้ ไม่ถูกทดแทนโดยผู้เล่นรายใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่า
สะท้อนให้เห็นถึงข้อจํากัดที่ประเทศมีในเรื่องการแข่งขัน โครงสร้างตลาดที่เอื้อผู้เล่นรายเก่าให้อยู่ได้แม้ขาดประสิทธิภาพ รวมถึงกฎระเบียบของทางการที่อาจทำให้กระบวนการทดแทนมีอุปสรรค ไม่คล่องตัวตามกลไกตลาด
ขณะเดียวกันเเรงงานในประเทศและผู้ประกอบการ ก็อาจขาดความพร้อมที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างแข็งขัน ไม่มีสถาบันในประเทศดูแลสนับสนุน ทั้งหมดทำให้ประเทศตกอยู่ในกับดักการขยายตัวตํ่าต่อเนื่อง แม้เทคโนโลยีใหม่จะสามารถเข้าถึงได้ ไม่แพง และหลายประเทศได้ประยุกต์ใช้ให้เห็นเป็นตัวอย่าง นี่คือ ช่องว่างที่นักเศรษฐศาสตร์โนเบลชี้ให้เห็น
เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นไปในสังคมที่มีผลต่อเศรษฐกิจและชีวิตผู้คน เป็นวิชาที่เรียนสนุก ไม่ใช่หอคอยงาช้าง แต่เจาะลึกเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในสังคม งานศึกษาที่ได้รับรางวัลโนเบลปีนี้ก็เช่นกัน ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทั้งสามคน







