GPSC ลุยโรงไฟฟ้า SMR ขนาดเล็ก รับ Data Center ดันไทยสู่ Net Zero 2050

GPSC ลุยโรงไฟฟ้า SMR ขนาดเล็ก รับ Data Center ดันไทยสู่ Net Zero 2050

"GPSC" เรื่องเครื่องศึกษาพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ขนาดเล็ก หวังรองรับการใช้งานลงทุน Data Center ดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050

ท่ามกลางการเร่งเครื่อง “เปลี่ยนผ่านพลังงาน” ของไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2050 การแสวงหาแหล่งพลังงานที่สะอาด มั่นคง และต้นทุนแข่งขันได้ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกระแสเทคโนโลยีใหม่อย่าง “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR)” กำลังถูกจับตาว่าอาจเป็น “เกมเชนเจอร์” ครั้งสำคัญของระบบพลังงานไทยในอนาคต

นายศิริเมธ ลี้ภากรณ์ ผู้จัดการใหญ่และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานอัจฉริยะ กลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า จากการประเมินแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำในประเทศพบว่า มีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทย แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังต้องพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาที่ผันผวน รวมถึงเงื่อนไขทางการค้าที่ต้องผลิตสินค้าลดการปล่อยคาร์บอน การผลักดันโครงการโรงไฟฟ้า SMR (Small Modular Reactor) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะกลุ่ม Data Center ที่ต้องการพลังงานจำนวนมากและมีเสถียรภาพสูง

สำหรับ โครงการ SMR จะมีผลต่อโครงสร้างต้นทุนด้านพลังงาน เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นสูง ปล่อยคาร์บอนต่ำ และสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง หากพิจารณาทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นทุนเครื่องจักร ค่าก่อสร้าง จนถึงราคาขายไฟฟ้า ถือว่ามีความคุ้มค่าใน 3 มิติ ได้แก่

1. ความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าได้ตลอดเวลา

2. ราคาค่าไฟที่สามารถแข่งขันได้ ใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน

3. สนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ได้เร็วขึ้น ภายใต้นโยบายรัฐบาลที่เร่งกรอบเวลาใหม่จากปี 2065 เป็นปี 2050

GPSC ลุยโรงไฟฟ้า SMR ขนาดเล็ก รับ Data Center ดันไทยสู่ Net Zero 2050

“หลายประเทศในอาเซียนได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 เช่นกัน ดังนั้น โอกาสที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR จะเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทยอาจเร็วกว่าแผนเดิม คาดว่าอีก 2–3 ปีข้างหน้า จะเห็นความชัดเจนในการส่งเสริมโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรม”

ทั้งนี้ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับเดิม ระบุว่า ประเทศไทยจะมีโรงไฟฟ้า SMR ขนาด 600 เมกะวัตต์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายในปี 2035 เพื่อรองรับเป้าหมาย Net Zero ปี 2065 แต่เมื่อรัฐบาลปรับกรอบเวลาเป้า Net Zero ใหม่เป็นปี 2050 ซึ่งจะเปิดทางให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดของประเทศ

นายศิริเมธ กล่าวเพิ่มเติมว่า GPSC เป็นเอกชนรายแรกที่ประกาศความพร้อมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า SMR โดยเตรียมความพร้อมไว้ 4 ด้านหลัก ได้แก่

1. พันธมิตร (Partners) เนื่องจากเทคโนโลยี SMR ยังใหม่สำหรับประเทศไทย การร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศที่มีประสบการณ์ถือเป็นหัวใจสำคัญ

2. บุคลากร (People) บริษัทเตรียมส่งบุคลากรไปศึกษาดูงานและปฏิบัติงานจริงในโรงไฟฟ้า SMR ต่างประเทศ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเสริมความพร้อมในอนาคต

3. เงินลงทุน (Finance) GPSC มีศักยภาพทางการเงินรองรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่

4. ฐานลูกค้าภาคอุตสาหกรรม (IU) โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีผลในปี 2569 รวมถึงกลุ่ม Data Center ที่ต้องการพลังงานสะอาดและมีเสถียรภาพ เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

ขณะนี้ GPSC อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนานวัตกรรมพลังงานสะอาดยุคใหม่จากเทคโนโลยี ปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นที่ 4 (SMR Generation IV หรือ Gen IV) ร่วมกับบริษัท Seaborg Technologies จากประเทศเดนมาร์ก ภายใต้แผนระยะยาวปี 2567–2570 เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคตอันใกล้

ความโดดเด่นของเทคโนโลยี SMR คือ เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก กำลังผลิต 100–300 เมกะวัตต์ต่อหน่วย สามารถผลิตได้ทั้ง “ไฟฟ้าและไอน้ำ” พร้อมกัน ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานสองรูปแบบควบคู่กัน ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 3–4 ปี ใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมเข้มข้นต่ำ ผสานระบบ เกลือหลอมเหลว (Molten Salt) และระบบ ความปลอดภัยแบบพาสซีฟ (Passive Safety System) ที่สามารถระบายความร้อนได้เองในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งยังไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างการผลิตไฟฟ้า

นายศิริเมธ ระบุว่า พื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ SMR ได้แก่ ภาคใต้และเมืองท่องเที่ยว ที่มีความต้องการใช้ไฟสูง แต่การพัฒนาโครงการดังกล่าวต้องรอความชัดเจนด้านกฎระเบียบจากภาครัฐ พร้อมสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะควบคู่กันไป

“การพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR ไม่สามารถดำเนินการโดยภาคเอกชนเพียงลำพังได้ ต้องเป็น ‘โครงการระดับชาติ’ ที่บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และอยู่ภายใต้การกำกับของ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เพื่อให้การใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและเพื่อสันติ”

ประเทศไทยมีกฎหมายและโครงสร้างพร้อมแล้ว เช่น พระราชบัญญัตินิวเคลียร์เพื่อสันติ และหน่วยงานกำกับด้านพลังงานปรมาณู หากมีการจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติและมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ภายใน 7 ปี ประเทศไทยจะสามารถเปิดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า SMR เครื่องแรกได้สำเร็จ ซึ่งจะเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศ