ธนาคารซิตี้ คาด ราคาน้ำมันดิบ ร่วงลงสู่ระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล

กลุ่มธนาคารซิตี้ เผยความเสี่ยง ราคาน้ำมันดิบ น้ำมันลดลงสู่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนลดความรุนแรงลง
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า เอริค ลี นักยุทธศาสตร์อาวุโสด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า การลดความตึงเครียดของสงครามยูเครนของรัสเซียอาจส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบ ดิ่งลงแตะ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ลีกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ (17 ต.ค.68) ว่าการลดความเสี่ยงที่การโจมตีของยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเครือข่ายโรงกลั่นน้ำมันของมอสโก และการผ่อนคลายแรงกดดันทางการทูตต่อผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันดิบรัสเซีย จะ “เร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วขึ้น” ไปสู่สถานการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำหนักที่ซิตี้คาดการณ์ไว้
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงทั่วโลกร่วงลงประมาณ 18% ในปีนี้ โดยซื้อขายใกล้ระดับ 61 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอุปทานส่วนเกินที่คาดการณ์ไว้มานานเริ่มปรากฏให้เห็น
นักลงทุนกำลังจับตาดูความคืบหน้าของความพยายามของสหรัฐฯ ในการยุติการหยุดยิงผ่านการเจรจาระดับสูงในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด ความก้าวหน้าครั้งนี้อาจปูทางให้ชาติตะวันตกผ่อนคลายข้อจำกัดในภาคพลังงานของรัสเซีย และหยุดยั้งการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนที่ทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของเครมลิน
ราคาน้ำมันที่ลดลงราว 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมน้ำมันหินดินดานของสหรัฐ ซึ่งจำต้องมีเงื่อนไขตลาดมีราคาน้ำมันที่สูงกว่าจึงจะแข่งขันกับรัฐวิสาหกิจกิจการสำรวจน้ำมันของรัฐบาลประเทศต่างๆได้
การลดลงเช่นนี้ยังทำให้เกิดคำถามว่าซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของกลุ่มโอเปก จะหันกลับไปปกป้องราคาน้ำมัน หรือจะยังคงดำเนินนโยบายสอดคล้องกับความต้องการน้ำมันราคาถูกของวอชิงตันหรือไม่ เขากล่าวเสริม
“ความต้องการที่จะใช้น้ำมันเป็นอาวุธทางนโยบายต่างประเทศอาจสูงขึ้น จากราคาน้ำมันในระดับนี้” ลีกล่าว “หากราคาน้ำมันอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการที่จะกดดันตีอิหร่านหรือรัสเซียจะทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นก็จะน้อยลง แต่ที่ระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำเนียบขาวอาจกล้าที่จะทำสิ่งที่สร้างความปั่นป่วนให้กับราคาน้ำมันมากขึ้น”
คาดราคาน้ำมันดิบร่วงลง 2%ในสัปดาห์นี้
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าราคาน้ำมันแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันศุกร์ แต่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะปรับตัวลดลงมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้ หลังจากที่ องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำมันล้นตลาดเพิ่มขึ้น และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ตกลงที่จะพบกันอีกครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.38% ปิดที่ 61.29 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต ล่วงหน้าของสหรัฐฯ (WTI) เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.14% ปิดที่ 57.54 ดอลลาร์สหรัฐ
ทรัมป์และปูตินตกลงกันในวันพฤหัสบดีที่จะจัดการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับสงครามในยูเครนอีกครั้ง ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าที่ฮังการี
การประชุมสุดยอดที่วางแผนไว้นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับข้อตกลงหยุดยิงที่จะยุติการสู้รบในฉนวนกาซาระหว่างอิสราเอลและฮามาสอย่างน้อยก็ชั่วคราว
ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ได้พบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ เพื่อผลักดันการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติม รวมถึงขีปนาวุธโทมาฮอว์กพิสัยไกลที่ผลิตในสหรัฐฯ ขณะที่วอชิงตันกดดันอินเดียและจีนให้หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
“เรามีข้อตกลงสันติภาพครั้งหนึ่งในรอบชั่วอายุคนในตะวันออกกลาง อิหร่านถูกถอดเขี้ยวเล็บ และตอนนี้ก็กรณียูเครน ความเสี่ยงมหาศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้หายออกไปจากตลาด” ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ Price Futures Group กล่าว
การปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและความต้องการพลังงานที่ลดลง
“มันทำลายความเชื่อมั่น” ฮอร์เก มอนเตเปเก กรรมการผู้จัดการของ Onyx Capital Group กล่าว ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว







